กลุ่มสยามประชาวิวัฒน์ สับเผด็จการฉีก รธน.ตามใบสั่งเจ้าของพรรคเลวกว่า “ฮิตเลอร์” เปิดพิมพ์เขียวโครงสร้างการเมืองไทย ชูตั้ง “สภาประชาชนจังหวัด” คานอำนาจรัฐรวมศูนย์ “คมสัน” ตอก “สภาฝักถั่ว” เลวสุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เหตุไร้ตัวแทนชาวบ้านตัวจริง “พิชาย” ลั่นเดินหน้าขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศทั้งระบบ เริ่มทวงคืน ปตท. เตรียมเดินสาย ตจว.หาแนวร่วม
วันนี้ (22 พ.ค.) ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มีการจัดเสวนาทางวิชาการในหัวข้อ “จากรัฐรวมศูนย์อำนาจ สู่การกระจายอำนาจให้แก่ท้องถิ่นและชุมชน” โดยกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ โดยมีวิทยากรเข้าร่วมที่น่าสนใจ ได้แก่ นายทวีศักดิ์ สูทกวาทิน คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, นายบรรเจิด สิงคะเนติ คณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และนายคมสัน โพธิ์คง สาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
ในช่วงแรก นายทวีศักดิ์กล่าวถึงการปฏิรูปประเทศ หรือการจัดระเบียบการปกครองแผ่นดินใหญ่ครั้งใหญ่ ที่ในอดีตมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันภัยคุกคามจากนอกประเทศ แต่ในการปฏิรูปประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นั้นเป็นความพยายามเพื่อตอบสนองรัฐการตลาด นำวิธีการเอกชนมาใช้ในระบบราชการเพื่อรวบอำนาจเข้าไปสู่รัฐบาลกลาง ครอบชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยโดยผ่านกลไกการตลาด ซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน โดยส่วนตัวเห็นว่า รัฐควรสละอำนาจกระจายการปกครองไปสู่ท้องถิ่นและชุมชนจะเป็นการปฏิรูปประเทศอีกครั้ง แม้นักการเมืองไม่ยอมรับเงื่อนไข ก็เชื่อว่าประชาชนจะร่วมกันขับเคลื่อนให้สำเร็จได้
ด้าน นายบรรเจิดกล่าวว่า พัฒนาการเมืองไทย 2475 จนถึงขณะนี้ 80 ปีเป็นความขัดแย้งชนชั้นนำเพียงไม่กี่กลุ่ม ได้แก่ ชนชั้นนำฝ่ายอนุรักษ์ ชนชั้นนำฝ่ายทุน และชนชั้นนำสายทหราร แต่ไม่ได้มีพื้นที่ให้แก่ประชาชนธรรมดาเลย จึงนำมาสู่ความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมในด้านต่างๆ ทั้งสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ตลอดจนการผูกขาดทางธุรกิจโดยการใช้อำนาจรัฐในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจต่างๆ ที่ปันผลประโยชน์ให้แก่พวกพ้องตัวเอง ทำให้สภาพการเมืองที่เราเผชิญอยู่ปัจจุบันคือ การปรากฏตัวของเผด็จการโดยพรรคการเมือง ซึ่งเป็นเผด็จการที่มีอานุภาพมาก
“ในสมัยเผด็จการนาซีฮิตเลอร์ มีการออกรัฐบัญญัติมอบอำนาจเบ็ดเสร็จให้กับฮิตเลอร์ และนำไปสู่การเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ประเทศไทยวันนี้เรากำลังเจอเผด็จการแก้รัฐธรรมนูญตามใบสั่งเจ้าของพรรคการเมือง ซึ่งเป็นเผด็จการเข้มข้นที่สุดในโลก เพราะจะมีรัฐธรรมนูญที่จะร่างเสร็จสิ้นตามใบสั่งของคนคนเดียว” นายบรรเจิดกล่าว
นายบรรเจิดกล่าวด้วยว่า ปัญหาใหญ่ของโครงสร้างระบบการเมืองไทยคือ 80 ปีของประชาธิปไตยไทยถูกผูกขาดโดยชนชั้นนำของสังคม ไม่ได้มีพื้นที่ของประชาชน หรือตัวแทนของประชาชน เหตุผลที่ไม่มีพื้นที่เพราะประเทศเราใช้ระบบตัวแทนผ่านพรรคการเมือง และมีนายทุนผูกขาดครอบงำพรรคการเมือง จึงไม่มีตัวแทนกลุ่มผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง รัฐสภาจึงกลายเป็นของเจ้าของพรรค ที่สามารถกำหนดทิศทางให้เป็นอย่างไรก็ได้ เพราะฉะนั้นตัวแทนของพรรคการเมืองจึงไม่ใช่ผู้แทนราษฎรอย่างที่พูดกัน
“วันนี้เจ้าของพรรคส่งสัญญาณมาว่าเราต้องปรองดองแล้ว สำเร็จหรือไม่จะพิสูจน์กันในรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะโหวตวาระ 3 สัปดาห์หน้า คำถามจึงมีว่าพื้นที่ของประชาชนอยู่ตรงไหนในประเทศนี้ อย่างดีมาที่หอประชุมนี้ สวนลุมฯ หรือสนามหลวง ชุมนุมให้ตายก็ไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไร ดังนั้น เมื่อเราไม่ต้องการให้ตัวแทนประชานอยู่ข้างถนน เราต้องเปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีบทบาททางการเมือง ปลุกกระแสประชาชนทั่วประเทศ สร้างพื้นที่ภาคประชาสังคมทุกพื้นที่ที่จะมาคานอำนาจรัฐ เช่น สภาประชาชนจังหวัดที่มีอำนาจกำหนดทิศทางตนเอง และตัดขาดจากชนชั้นนำของประเทศอย่างเด็ดขาด” นายบรรเจิดกล่าว
นายบรรเจิดยังได้นำเสนอ “พิมพ์เขียวโครงสร้างสถาบันการเมืองไทย” โดยอธิบายว่า หากจะให้พี่น้องประชาชนเข้าไปมีบทบาทในโครงสร้างการเมืองไทย ต้องแก้โจทย์การผูกขาดโดยชนชั้นนำให้ได้ ดังนั้นจึงควรมีการจัดตั้ง “สภาประชาชนจังหวัด” ที่ประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาสังคม และตัวแทนกลุ่มผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง โดยให้สภาฯ นี้เลือกตัวแทนผลประโยชน์ในทางพื้นที่เข้ามานั่งในวุฒิสภาเพื่อใช้คานอำนาจกับรัฐ มีอำนาจในการกำหนดทิศทางของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องรอ ครม.สัญจรเหมือนในปัจจุบัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ฝ่ายการเมืองไม่ต้องการให้เกิดขึ้น เพราะจะไม่สามารถหากินจากงบประมาณของชาติได้อีก ขณะที่สภาผู้แทนราษฎรนั้นก็จะให้คัดเลือก ส.ส.ที่มาจากตัวแทนของประชาชนจากฐานอาชีพที่หลากหลายกว่าในปัจจุบัน ในส่วนท้องถิ่นก็ต้องสร้างองค์กรในระดับพื้นที่ และชุมชนให้เข้มแข็ง ในลักษณะ “สภาชุมชนท้องถิ่น” เพื่อให้องค์กรเหล่านี้มาติดตามแผนงาน และตรวจสอบการใช้งบประมาณ โดยทำงานเชื่อมโยงกับสภาประชาชนจังหวัด เชื่อว่าทิศทางนี้จะเป็นการตอบโจทย์เพื่อไม่ให้ชนชั้นนำผูกขาดอีกต่อไป และเป็นการปฏิรูปประเทศอย่างแท้จริง
จากนั้น นายคมสันอภิปรายต่อว่า เมื่อมองพัฒนาการทางการเมืองไทยตั้งแต่ปี 2475 เป็นต้นมา จะพบว่ารัฐสภาถือเป็นองค์กรที่มีปัญหาและทำความชั่วร้ายให้แก่สังคมไทยมากที่สุด โดยเฉพาะความไร้คุณภาพของ ส.ส.ที่นับวันตกต่ำลง มีการใช้ถ้อยคำหยาบคายในที่ประชุม และประท้วงตามคำสั่งโดยไม่มีเหตุผล บางคนรู้ตัวว่าเป็น ส.ส.ไม่ได้ก็ยังอยากเป็น ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เป็น พอสุดท้ายหลุดจากตำแหน่งก็อ้างว่าอำมาตย์กลั่นแกล้ง
นายคมสันกล่าวต่อถึงวิธีการปฏิรูปสภาพการเมืองไทยว่า ที่ผ่านมาความมีส่วนร่วมของประชาชนในภาคต่างๆ ไม่มีในระบบรัฐสภา มีแต่สมาชิกที่มาจากกลุ่มทุน แสดงให้เห็นว่ากลุ่มทุนใหญ่เกินไป ยิ่งเมื่อกลุ่มทุนกับอำนาจรัฐเป็นเนื้อเดียวกันก็กลายเป็นการรวมศูนย์อำนาจอย่างเด็ดขาด โจทย์ที่ต้องแก้คือทำให้กลุ่มทุนนั้นเล็กลง จึงต้องเริ่มที่การปฏิรูปโครงสร้างการกระจายอำนาจอย่างแท้จริง เพื่อแก้การรวบอำนาจรวมศูนย์ โดยให้มีการกระจายอำนาจใน 3 วิธีหลัก คือ 1.เ รื่องการจัดสรรงบประมาณ 2. การบริหารบุคคลท้องถิ่น และ 3. การวางหลักการควบคุมการบริหารราชการท้องถิ่น
ในช่วงสุดท้ายเป็นการแจ้งกิจกรรมความเคลื่อนไหวทางวิชาการ “ก้าวไปข้างหน้า” ของกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์” โดยนายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เป็นผู้แถลงว่า กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์จะเดินหน้านำเสนอแนวทางในการกระจายอำนาจอย่างแท้จริงในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจส่วนร่วมและในระดับท้องถิ่น โดยให้ภาคประชาชนทุกกลุ่มเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งอาจจะเป็นรูปแบบของสภาประชาชนในระดับจังหวัด และเปลี่ยนโครงสร้างของระบบรัฐสภา ให้มีตัวแทนของประชาชนในทุกภาคส่วนมีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง นอกจากนี้จะมีการจัดทำแผนพัฒนาประเทศและท้องถิ่นโดยภาคประชาชนเอง รวมไปถึงแผนการจัดสรรงบประมาณด้วย
นายพิชายกล่าวต่อว่า สิ่งที่สำคัญที่ดำเนินการต่อไปที่มีความสำคัญต่ออนาคตของชาติ คือการปฏิรูประบบนโยบายและการบริหารพลังงานของชาติ ทั้งก๊าซและน้ำมันที่กำลังจะตกอยู่ในมือของเถ้าแก่และพรรคพวก ขั้นแรกคือ การนำ ปตท.กลับมาเป็นของประชาชน ขณะเดียวกันก็ต้องผลักดันในมีการปฏิรูประบบการศึกษาไทยขนานใหญ่ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาจากระบบอุปถัมป์ หรือแปะเจี๊ยะ อีกต่อไป เพื่อไม่ให้ผลิตคนที่จะมาคอยเดินตามเถ้าแก่ออกมาอีก ตลอดจนไปถึงการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาให้แก่เกษตรกร และผู้บริโภคที่เผชิญกับของแพงอยู่ในปัจจุบันนี้ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 24 มิ.ย.นี้ทางกลุ่มจะเริ่มเดินสายสัญจรเพื่อพูดคุยเสวนากับประชาชนทั่วประเทศ