ด้วยลักษณะแห่งความอัปลักษณ์ และเลวร้ายที่สุดของระบอบการเมืองดังกล่าวได้สำแดงออกมา จึงนำมาซึ่งความขัดแย้ง และการปะทะทางการเมืองอย่างรุนแรงแตกหัก ผ่านเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองของไทยในรอบ 10 ปีมานี้ สังคมไทยยังวนเวียน และจมปลักอยู่กับการต่อสู้ของสองขั้วอำนาจที่ยังไม่จบ และฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยังมิอาจได้รับชัยชนะโดยเด็ดขาด ความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง และความไม่สงบสุขในสังคมไทยยังคงดำรงอยู่ต่อไป และกำลังจะเกิดการต่อสู้ครั้งใหม่ที่อาจหนักหน่วง และรุนแรงกว่าเดิมเพื่อชัยชนะขั้นเด็ดขาด
กลุ่มทุนใหม่ที่มีทักษิณเป็นผู้นำ ได้ประสานมือและสร้างแนวร่วมทางการเมืองกับกลุ่มทุนผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นที่ผันตัวเองมาเป็นนักเลือกตั้ง หรือผู้สนับสนุนนักการเมือง นักเลือกตั้งที่มีอิทธิพลอยู่ในท้องถิ่น และพื้นที่ชนบทต่างจังหวัดอย่างเหนียวแน่นในรูปของพรรคการเมือง (ไทยรักไทย-พลังประชาชน-เพื่อไทย) กลุ่มนี้จึงได้สร้างฐานอำนาจของตนขึ้นมาดูยิ่งใหญ่เข้มแข็ง โดยมีฐานมวลชนเสื้อแดงซึ่งเป็นฐานเดียวกับพรรคการเมืองกับนักการเมืองท้องถิ่นหลอมรวมกันเพื่อการยึดอำนาจรัฐ กุมอำนาจการปกครองประเทศทั้งมีสื่อมวลชน นักวิชาการ กลไกราชการที่นิยมแนวทางของทักษิณเป็นเครื่องมือและสมุนรับใช้
ส่วนกลุ่มทุนเก่า หรือทุนขุนนาง-ศักดินาเก่า วันนี้อยู่ในฐานะรอง ถอยร่น และรอเวลาตีโต้กลับเพื่อชิงอำนาจคืน โดยกำลังของกลุ่มนี้ยังคงอาศัยกองทัพ, พรรคการเมือง ตัวแทนกลไกข้าราชการ, ศาล และประชาชนที่ยังภักดีเป็นกำลังค้ำจุน
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) หรือพลังมวลชนคนเสื้อเหลือง เกิดขึ้นเพราะมี “ระบอบทักษิณ” และด้วยอุดมคติแห่งความจงรักภักดี เพราะนอกจากระบอบทักษิณเป็นภัยคุกคามต่อสถาบันแล้ว ประชาชนส่วนใหญ่ที่รวมตัวเป็นพันธมิตรฯ ยังเห็นว่าระบอบการเมืองประชาธิปไตยแบบทักษิณ ปล้นเอาผลประโยชน์ของชาติ ของแผ่นดิน ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ โกงและทุจริตต่อผลประโยชน์ของประชาชนโดยรวม อันเป็นผลกระทบต่อพวกเขาโดยตรง ทั้งการใช้อำนาจเพื่อตนเองและพวกพ้อง มีอภิสิทธิ์อยู่เหนือกฎหมาย และกฎเกณฑ์ทั้งหลายของบ้านเมือง ทำให้เกิดการรวมตัวของประชาชนทุกหมู่เหล่า เพื่อขับไล่โค่นล้มระบอบทักษิณจนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง อันเป็นที่ทราบโดยทั่วกัน
เจตนารมณ์และอุดมคติของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้วก็คือ “ประชาชนต้องการระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงสละอำนาจการปกครอง และยอมอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ” ดังที่ได้กล่าวไว้ในคำปรารภ เมื่อครั้งมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยจะเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า แม้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะต่อสู้ขับไล่ระบอบทักษิณจนหมดอำนาจลงไป และมีการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองเป็นอีกขั้วหนึ่ง พันธมิตรฯ ก็ยังต้องเผชิญหน้า และต่อสู้กับพรรคการเมือง และนักการเมืองที่ขึ้นมามีอำนาจ โดยมิได้รามือแต่อย่างใด
นั่นย่อมเป็นเครื่องชี้ว่า เจตนารมณ์ของพันธมิตรฯ แท้จริงแล้วพวกเขาต้องการ “การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง” เพื่อนำพาชาติบ้านเมืองไปสู่ความเจริญก้าวหน้าเยี่ยงสากลอารยธรรมแห่งโลก ประชาชนมีความสมัครสมานสามัคคี ผู้ปกครองมีคุณธรรม ทำนุบำรุงประเทศให้รุ่งเรืองไพบูลย์สืบไป ประชาชนมีความสุขความเจริญ อยู่ในสังคมที่เป็นธรรม สงบสุขโดยถ้วนหน้ากัน โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข และเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนชาวไทยทั้งแผ่นดิน และเจตนารมณ์ดังกล่าว ก็คือ “ เจตนารมณ์ 7 ตุลาฯ ของเหล่าวีรชน และประชาชนทุกคนที่ได้ร่วมกันต่อสู้ และร่วมกันสร้างวีรกรรมอันงดงามของประวัติศาสตร์การเมืองภาคประชาชนของไทย” ตลอดระยะเวลา 5 ปีของการต่อสู้
การต่อสู้ของการเมืองสองขั้ว สองกลุ่มอำนาจ ตัวแทนสองกลุ่มทุนในสังคมไทย ยังจะต้องดำเนินไปเป็นระยะเวลายาวนานพอสมควร ในช่วงประวัติศาสตร์การเมืองไทย แต่ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ใครจะได้รับชัยชนะโดยเด็ดขาดก็ตาม ทั้งสองกลุ่มก็ยังมิได้เป็นอำนาจทางการเมืองที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่โดยแท้จริง ต่างฝ่ายต่างก็ช่วงชิงอำนาจเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตนเท่านั้น โดยอ้างประชาชนขึ้นบังหน้า อำนาจรัฐก็เป็นเพียงสมบัติผลัดกันชม ทั้งสองฝ่ายยังคงตีค่าประชาชนเป็นเพียงลิ่วล้อ หรือนั่งร้านให้กลุ่มตนปีนป่ายและเหยียบย่ำขึ้นสู่อำนาจ กระทั่งเหยียบซากศพชีวิตและเลือดเนื้อของประชาชน ทรยศ และเนรคุณต่อประชาชน พวกเขาก็ไม่ละอายใจ
หากประชาชนเรียกร้องทวงถามสิทธิผลประโยชน์ของประชาชน คัดค้านและขัดขวางการใช้อำนาจใดๆ โดยไม่ชอบ พวกเขาก็จะใช้อำนาจทางการเมือง จัดการกับประชาชน โดยมิได้มีความแตกต่างกันแต่อย่างใด ผู้นำและนักต่อสู้ของประชาชนจึงต้องคดีโดยข้อกล่าวหาที่ไร้ความเป็นธรรม กระทั่งถูกลอบสังหารเข่นฆ่า
79 ปี ของประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทย จึงยังคงวนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์อยู่เช่นนี้ แนวทางและหนทางที่ประชาชนจะหลุดพ้นจากวงจรดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้อย่างไร และประชาชนทั้งหลายจะทำอย่างไรจึงจะก้าวไปสู่การเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันเป็นของประชาชนโดยแท้จริงได้ นี่คือโจทก์ข้อใหญ่ที่สุดของภาคประชาชน? ติดตามอ่านตอนจบวันศุกร์หน้า.....
กลุ่มทุนใหม่ที่มีทักษิณเป็นผู้นำ ได้ประสานมือและสร้างแนวร่วมทางการเมืองกับกลุ่มทุนผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นที่ผันตัวเองมาเป็นนักเลือกตั้ง หรือผู้สนับสนุนนักการเมือง นักเลือกตั้งที่มีอิทธิพลอยู่ในท้องถิ่น และพื้นที่ชนบทต่างจังหวัดอย่างเหนียวแน่นในรูปของพรรคการเมือง (ไทยรักไทย-พลังประชาชน-เพื่อไทย) กลุ่มนี้จึงได้สร้างฐานอำนาจของตนขึ้นมาดูยิ่งใหญ่เข้มแข็ง โดยมีฐานมวลชนเสื้อแดงซึ่งเป็นฐานเดียวกับพรรคการเมืองกับนักการเมืองท้องถิ่นหลอมรวมกันเพื่อการยึดอำนาจรัฐ กุมอำนาจการปกครองประเทศทั้งมีสื่อมวลชน นักวิชาการ กลไกราชการที่นิยมแนวทางของทักษิณเป็นเครื่องมือและสมุนรับใช้
ส่วนกลุ่มทุนเก่า หรือทุนขุนนาง-ศักดินาเก่า วันนี้อยู่ในฐานะรอง ถอยร่น และรอเวลาตีโต้กลับเพื่อชิงอำนาจคืน โดยกำลังของกลุ่มนี้ยังคงอาศัยกองทัพ, พรรคการเมือง ตัวแทนกลไกข้าราชการ, ศาล และประชาชนที่ยังภักดีเป็นกำลังค้ำจุน
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) หรือพลังมวลชนคนเสื้อเหลือง เกิดขึ้นเพราะมี “ระบอบทักษิณ” และด้วยอุดมคติแห่งความจงรักภักดี เพราะนอกจากระบอบทักษิณเป็นภัยคุกคามต่อสถาบันแล้ว ประชาชนส่วนใหญ่ที่รวมตัวเป็นพันธมิตรฯ ยังเห็นว่าระบอบการเมืองประชาธิปไตยแบบทักษิณ ปล้นเอาผลประโยชน์ของชาติ ของแผ่นดิน ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ โกงและทุจริตต่อผลประโยชน์ของประชาชนโดยรวม อันเป็นผลกระทบต่อพวกเขาโดยตรง ทั้งการใช้อำนาจเพื่อตนเองและพวกพ้อง มีอภิสิทธิ์อยู่เหนือกฎหมาย และกฎเกณฑ์ทั้งหลายของบ้านเมือง ทำให้เกิดการรวมตัวของประชาชนทุกหมู่เหล่า เพื่อขับไล่โค่นล้มระบอบทักษิณจนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง อันเป็นที่ทราบโดยทั่วกัน
เจตนารมณ์และอุดมคติของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้วก็คือ “ประชาชนต้องการระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงสละอำนาจการปกครอง และยอมอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ” ดังที่ได้กล่าวไว้ในคำปรารภ เมื่อครั้งมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยจะเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า แม้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะต่อสู้ขับไล่ระบอบทักษิณจนหมดอำนาจลงไป และมีการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองเป็นอีกขั้วหนึ่ง พันธมิตรฯ ก็ยังต้องเผชิญหน้า และต่อสู้กับพรรคการเมือง และนักการเมืองที่ขึ้นมามีอำนาจ โดยมิได้รามือแต่อย่างใด
นั่นย่อมเป็นเครื่องชี้ว่า เจตนารมณ์ของพันธมิตรฯ แท้จริงแล้วพวกเขาต้องการ “การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง” เพื่อนำพาชาติบ้านเมืองไปสู่ความเจริญก้าวหน้าเยี่ยงสากลอารยธรรมแห่งโลก ประชาชนมีความสมัครสมานสามัคคี ผู้ปกครองมีคุณธรรม ทำนุบำรุงประเทศให้รุ่งเรืองไพบูลย์สืบไป ประชาชนมีความสุขความเจริญ อยู่ในสังคมที่เป็นธรรม สงบสุขโดยถ้วนหน้ากัน โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข และเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนชาวไทยทั้งแผ่นดิน และเจตนารมณ์ดังกล่าว ก็คือ “ เจตนารมณ์ 7 ตุลาฯ ของเหล่าวีรชน และประชาชนทุกคนที่ได้ร่วมกันต่อสู้ และร่วมกันสร้างวีรกรรมอันงดงามของประวัติศาสตร์การเมืองภาคประชาชนของไทย” ตลอดระยะเวลา 5 ปีของการต่อสู้
การต่อสู้ของการเมืองสองขั้ว สองกลุ่มอำนาจ ตัวแทนสองกลุ่มทุนในสังคมไทย ยังจะต้องดำเนินไปเป็นระยะเวลายาวนานพอสมควร ในช่วงประวัติศาสตร์การเมืองไทย แต่ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ใครจะได้รับชัยชนะโดยเด็ดขาดก็ตาม ทั้งสองกลุ่มก็ยังมิได้เป็นอำนาจทางการเมืองที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่โดยแท้จริง ต่างฝ่ายต่างก็ช่วงชิงอำนาจเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตนเท่านั้น โดยอ้างประชาชนขึ้นบังหน้า อำนาจรัฐก็เป็นเพียงสมบัติผลัดกันชม ทั้งสองฝ่ายยังคงตีค่าประชาชนเป็นเพียงลิ่วล้อ หรือนั่งร้านให้กลุ่มตนปีนป่ายและเหยียบย่ำขึ้นสู่อำนาจ กระทั่งเหยียบซากศพชีวิตและเลือดเนื้อของประชาชน ทรยศ และเนรคุณต่อประชาชน พวกเขาก็ไม่ละอายใจ
หากประชาชนเรียกร้องทวงถามสิทธิผลประโยชน์ของประชาชน คัดค้านและขัดขวางการใช้อำนาจใดๆ โดยไม่ชอบ พวกเขาก็จะใช้อำนาจทางการเมือง จัดการกับประชาชน โดยมิได้มีความแตกต่างกันแต่อย่างใด ผู้นำและนักต่อสู้ของประชาชนจึงต้องคดีโดยข้อกล่าวหาที่ไร้ความเป็นธรรม กระทั่งถูกลอบสังหารเข่นฆ่า
79 ปี ของประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทย จึงยังคงวนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์อยู่เช่นนี้ แนวทางและหนทางที่ประชาชนจะหลุดพ้นจากวงจรดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้อย่างไร และประชาชนทั้งหลายจะทำอย่างไรจึงจะก้าวไปสู่การเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันเป็นของประชาชนโดยแท้จริงได้ นี่คือโจทก์ข้อใหญ่ที่สุดของภาคประชาชน? ติดตามอ่านตอนจบวันศุกร์หน้า.....