รัฐแจงงบปี56 วาระ 1 “กิตติรัตน์” ยันสินค้าแพงตามอากาศ โวถูกกว่าปีที่แล้ว ยันแพงทั้งแผ่นดินไม่จริง โถ...อ้างรัฐพีอาร์ไม่เก่ง การันตีไม่ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม โอ่ทำเป้ารายรับปี 56 ถึง 2.1 ล้านล้านได้แน่ ชี้งบตั้งไว้เพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ด้าน “ชูวิทย์” โผล่โชว์คลิปแฉบ่อนสถานีรถไฟมักกะสัน ซัด รฟท.บริหารพื้นที่ไร้คุณภาพ “เหลิม” โยน ตร.ฟัน ขู่ผกก.ถ้าเจอต้องรับผิด ชม “ปู” จัดงบเก่ง โอ่ไม่มีรัฐไหนเน้นปราบยาเท่าชุดนี้ โวเศรษฐกิจเติบโตแน่ ปัดรัฐจ่ายหนุนบ้านแดง
วันนี้ (21 พ.ค.) ที่รัฐสภา การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 วาระที่ 1 นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวชี้แจงการจัดทำร่างงบประมาณปี 56 โดยปฎิเสธว่า รัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญกับการกู้เงินเพียงอย่างเดียวเพราะมีแผนบริหารหนี้สาธารณะไม่ให้เป็นภาระงบประมาณของแผ่นดิน และเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นปกติของโลกแต่ระดับของการขึ้นเป็นอัตราเฉลี่ยที่สามารถควบคุมได้และมีอัตราน้อยกว่าประเทศคู่แข่งและคู่ค้า และน้อยกว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้ประชาชน สินค้าหลายรายการอาจแพงขึ้นตามสภาวะอากาศ หากเทียบกับปี 2554 ถือว่ามีราคาถูกลง
“ปีที่แล้วราคาน้ำมันปาล์มกระทรวงพาณิชย์กำหนดเพดานราคาขาย 47 บาท แต่ปรากฎว่าเวลานั้นประชาชนไม่สามารถหาซื้อในราคาดังกล่าวได้ เกิดปัญหาบริหารจัดการ แต่ปีนี้ราคาน้ำมันอยู่ 42 บาทต่อขวดโดยหาซื้อในราคาควบคุมได้ ส่วนราคาไข่พบว่าไม่มีการพยายามเทียบเคียงราคาไข่ไก่ หรือไข่เป็ด เหมือนช่วงรัฐบาลที่ผ่านมา ดังนั้นหากบอกว่าแพงทั้งแผ่นดินจริง ทำไมยกเว้นไข่ที่ถือว่าเป็นโปรตีนราคาถูก รัฐบาลยอมรับว่าของแพงก็มีของถูกก็มี แต่รัฐบาลให้ความสำคัญในการบริหารจัดการเพียงแต่ว่ารัฐบาลอาจประชาสัมพันธ์ไม่เก่ง” นายกิตติรัตน์กล่าว
รองนายกฯ กล่าวว่า ขณะเดียวกันรัฐบาลไม่มีนโยบายขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ส่วนการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลรัฐบาลไม่มีแผนนำภาษีตัวนี้เข้าไปรวมในราคาน้ำมัน และยืนยันว่ารายรับของปีงบประมาณ 2556 จำนวน 2.1 ล้านล้านบาทสามารถทำได้ตามเป้าแน่นอน หมายความว่าการปรับภาษีเพื่อเพิ่มรายรับจึงไม่มีความจำเป็น อย่างไรก็ตาม หากจะปรับภาษีจะเป็นไปในแนวทางเพื่อส่งเสริมกิจกรรมต่างๆ ตามสมควรไม่ใช่ดำเนินการเพื่อหวังรายได้เพิ่มขึ้น
“ภาษีที่ดิน ภาษีโรงเรือน ภาษีสิ่งปลูกสร้าง ไม่ได้เป็นเรื่องเร่งด่วนของรัฐบาล รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับสิ่งดีๆ ทั้งสิ้นโดยพร้อมสานต่อนโยบายรัฐบาลในอดีตในบางเรื่อง แต่รัฐบาลปัจจุบันก็มีเหตุผลที่จะคิดแตกต่างกันเพราะเห็นว่าไม่สอดคล้องกับแนวคิดในการนำพาประเทศนี้ไปสู่สภาวะการเจริญเติบโตที่ดี” นายกิตติรัตน์กล่าว
นายกิตติรัตน์กล่าวว่า งบประมาณที่ตั้งไว้สามารถดูแลและเสริมกลไกการแข่งขันและทำให้กลไกตลาดทำงานต่อไปได้ คณะรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการเจริญเติบโตเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพควบคู่ไปกับการกระจายรายได้ที่ดี สำหรับการสร้างความปรองดองไม่ได้อยู่ที่การใช้เงินอย่างเดียว แต่ต้องใช้ทัศนคติด้วย รัฐบาลชุดนี้ได้ดำเนินนโยบายกับประชาชนเป็นรายกลุ่มก็จริง แต่ไม่ได้มีเจตนานำเอาภาษีของรัฐไปเอื้อประโยชน์เพื่อไม่ดูแลผู้เกี่ยวข้องในส่วนอื่นๆ
“กองทุนการออมแห่งชาติยอมรับว่าได้มีการออกมาเป็น พ.ร.บ.แล้ว ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ดำเนินการให้สอดคล้องกับรัฐบาลแต่ก่อนจะดำเนินการรัฐบาลจะต้องดูให้เกิดความรอบคอบว่าแนวทางที่วางเอาไว้ตั้งแต่อดีตมีความเหมาะสมหรือไม่ โดยอาจจะใช้งบประมาณบริหารจัดการน้อยลงเหลือประมาณ 720 ล้านบาท รวม 2 ปี เพียงพอให้กองทุนการออมเดินหน้าต่อไปได้”
จากนั้นสมาชิกทั้ง ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลและ ส.ส.ฝ่ายค้านได้สลับกันอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 56 ในวาระ 1 อาทิ นายประเสริฐ พงษ์สุวรรณศิริ ส.ส.ยะลา พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า รัฐบาลชุดนี้มีงบประมาณรายจ่ายสูงสุดตั้งแต่มีประเทศไทยมา และเป็นรัฐบาลที่กู้เงินเร็วที่สุด มาถึงก็กู้ และเป็นรัฐบาลชุดที่กู้เงินมากที่สุดในประเทศไทยชุดหนึ่ง เพราะ 10 เดือนที่บริหารมากู้ไปแล้ว 1.1 ล้านล้านบาท ยังไม่นับเงินนอกงบประมาณอีกหลายแสนล้าน เป็นการตบแต่งบัญชีผลักภาระให้ ธปท.รับผิดชอบในการชดใช้ดอกเบี้ย ทั้งนี้ ในอนาคตเป็นห่วงกันว่าเงินสำรองของประเทศจะถูกล้วงออกมาใช้หรือไม่
ขณะที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย อภิปรายพร้อมกับนำคลิปของการรถไฟแห่งประเทศไทยที่ใช้งบประมาณไปบริหารในโครงการต่างๆ อย่างไร้ประสิทธิภาพว่า การรถไฟได้งบประมาณไปใช้เป็นจำนวนมาก หลายโครงการ ซึ่งตนจะนำเสนอให้เห็นกันชัดๆว่าที่ทำมามันไร้ประโยชน์ เช่น พื้นที่ของการรถไฟสถานีที่มักกะสัน น่าเป็นห่วงเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน การบริหารจัดการก็ไร้คุณภาพ การปล่อยทิ้งพื้นที่ให้รกร้าง ไม่มีการพัฒนาองค์กร ทำให้หลายครั้งมีการเกิดอุบัติเหตุจากรถไฟหลายครั้ง รวมทั้งมีการเปิดบ่อนที่สถานีรถไฟมักกะสันกันอย่างโจ่งแจ้ง อยากให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ได้ไปตรวจสอบด้วย ในส่วนของโครงการแอร์พอร์ตลิงก์เป็นโครงการที่ใช้งบประมาณกว่า 2.5 หมื่นล้านบาทที่ไร้ประโยชน์ ไม่มีคนไปใช้บริการ นอกจากนี้ การรถไฟยังเข้าไปบริหารสวนจตุจักรก็ไม่มีคุณภาพ ไม่มีการพัฒนา ยิ่งทำก็ยิ่งแย่ มีนักท่องเที่ยวไปใช้บริการน้อยลง ทั้งนี้ การที่ตนได้นำเสนอมาทั้งหมด เพื่อให้เห็นว่าปัญหาหลักๆ รัฐบาลยังแก้ไม่ได้ แล้วการเอางบประมาณไปใช้กลับไม่มีอะไรดีขึ้นเลย
ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ชี้แจงว่า การจัดเงินงบประมาณในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 56 ต้องชมเชย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ที่จัดงบประมาณได้สอดคล้องรองรับกับการเติบโตทางเศรษฐกิจและรายได้ โดยคำนึงข้อจำกัดต่างๆ ทุกด้านจึงกำหนดงบเป็นตัวเลขกลมๆ และความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการรักษาวินัยทางการเงินการคลัง เพื่อให้ฐานะการเงินมีความยั่งยืนระยะยาว อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมั่นใจว่าอาจจะอยู่ถึง 12 ปี จึงต้องวางโครงสร้างไว้ในระยะยาว โดยมีการตั้งสัดส่วนรายจ่ายลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.7 หรือ 4.5 แสนล้านบาทของงบประมาณทั้งหมด เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้สามารถมีกำไรได้
ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวต่อว่า รัฐบาลยังได้จัดสรรงบประมาณตามนโยบายที่รัฐบาลได้หาเสียงไว้ อาทิ มีการเพิ่มงบประมาณด้านการปราบปรามยาเสพติดกว่า 22% ซึ่งตนยืนยันว่าไม่มีรัฐบาลชุดไหนที่ให้ความสำคัญกับการปราบปรามยาเสพติดเท่ารัฐบาลชุดนี้ รวมทั้งการปราบปรามการทุจริต ที่ได้จัดสรรงบจำนวน 420 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 82 เพื่อดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ การตรวจสอบอย่างเข้มแข็งจริงจัง ส่วนประเด็นการปราบบ่อนการพนันนั้น ตนได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการ โดยเฉพาะที่สถานีรถไฟมักกะสัน ต้องไปดูว่าอยู่ในเขตดูแลของ สน.พญาไท หรือ สน.มักกะสัน ผู้กำกับการต้องเข้าไปดู อย่าให้ใครติติงได้ หากมีบ่อนในพื้นที่ผู้กำกับการต้องรับผิดชอบ
รองนายกฯ กล่าวต่อว่า จัดทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 56 เราจัดเก็บรายได้สูงกว่าช่วงเดียวกันของเมื่อปีที่แล้ว จึงมั่นใจว่าเศรษฐกิจจะเติบโต หากไปดูตัวเลขจากสำนักงบประมาณจะพบว่าสามารถจัดเก็บรายได้เกินเป้ากว่า 3 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีการจัดงบประมาณด้านการป้องกันประเทศ ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสาธารณสุข และด้านอื่นๆ ล้วนแต่มีงบประมาณที่เพิ่มมากขึ้นทั้งนั้น
“เรามีรายได้เพิ่มขึ้นจากปี 55 เพราะสามารถจัดเก็บภาษีอากรรวมเพิ่มขึ้น ต่างชาติก็มาเที่ยวมากขึ้น เพราะไม่มีเหตุรุนแรง มีการบอกว่าการลดภาษีบุคคลจาก 30% เหลือ 23% ผมยอมรับว่า พ.ต.ท.ทักษิณคิด และในปีต่อไปจะลดเหลือ 20% ยืนยันว่ารายได้จะไม่ลดลงอย่างแน่นอน แต่จะเป็นการจูงใจให้ธุรกิจที่ชอบหลีกเลี่ยงภาษีจะกลับเข้ามาในระบบ ทั้งภาคอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ที่จะมาลงทุน ซึ่งจะทำให้เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้” ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว
รองนายกฯ กล่าวต่อว่า มีการคิดตัวเลขว่าถ้าลดภาษีรายได้นิติบุคคลเราจะขาดทุนในปี 56 กว่า 7 หมื่นล้านบาท แต่ถ้ามองถึงแรงจูงใจ ฐานภาษี สรุปแล้วเราได้กำไร เพราะเมื่อมีการสร้างงาน จ้างงาน คนก็มีรายได้ มีงานทำ อาชญากรรมก็ลดลง ประชาชนมีเงินไปจับจ่ายใช้สอยซื้อของ พ่อค้า แม่ค้าก็ขายของได้ รัฐก็สามารถจัดเก็บภาษีได้
“ส่วนที่มีคนเป็นห่วงเรื่องนโยบายของรัฐบาลว่าอนุญาตให้ตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงและจ่ายเงิน
สนับสนุนนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นการจ่ายเงินสนับสนุน รัฐบาลไม่มีนโยบายแต่ไม่ได้ห้าม เพราะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม มีหมู่บ้านเสื้อแดงที่ถูกต้องจดทะเบียนกับกรมการปกครอง อย่าไปสงสัย อย่าไปลือ เพราะพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงเป็นพวกกันจริง แต่ไม่สนับสนุนให้ตั้งหมู่บ้านและไม่มีงบประมาณให้” ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว
ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวอีกว่า เรื่องปัญหายาเสพติด ตนพยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อให้มีประสิทธิภาพ เพราะนายกฯ มอบหมายให้ปฏิบัติอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ในทุกภาคส่วนก็ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ถือเป็นโชคดีของประเทศและรัฐบาลที่รู้ว่าแก๊งอุบาทว์นำยาซูโดเข้ามาโดยการสำแดงเท็จ ลักลอบเข้ามา เรารู้เส้นทาง กลุ่มแก๊งแล้ว จะดำเนินการจับกุมในเร็ววันนี้ ถ้าเราสกัดสารตั้งต้นได้ ยาเสพติดจะลดน้อยถอยลง ตั้งเป้า 1 ปีจะให้น้อยลงเรื่อยๆ จะเป็นมารผจญพวกคนที่อยู่ในคุก เราจะสร้างคุกใหม่ หาเกาะใหม่ ไปสร้างบนเกาะ และตัดสัญญาณโทรศัพท์ รวมทั้งต้องขยายการยึดทรัพย์ด้วย