ผู้นำฝ่ายค้านไล่รัฐบาลออกกฎหมายภาษีที่ดิน แทนรีด vat 1% ยันไม่ใช่เวลาเหมาะสม เหตุค่าครองชีพพุ่ง กดดันเงินเฟ้อ กระทบเสถียรภาพเศรษฐกิจ ซ้ำเติมคนจน เตือนอย่าล้วงเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ขวาง “โกร่ง” นั่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ย้ำอันตรายไม่แตกต่างจากวิกฤตต้มยำกุ้ง 40 ไม่สนเพื่อไทยตีกรอบอภิปรายร่างแก้ รธน.ให้จบภายใน 3 วัน ยันเดินหน้าต้าน แก้ รธน.รวบอำนาจเพื่อเสียงข้างมาก
วันนี้ (30 เม.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านฯ เตือนรัฐบาลให้พิจารณาอย่างรอบคอบหลังจากนายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศไทย หรือ กยอ. เสนอให้รัฐบาลขยายฐานภาษีด้วยการเพิ่มการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ vat อีก 1% ว่า รัฐบาลต้องพิจารณาให้ดี เพราะขณะนี้ปัญหาค่าครองชีพเป็นเรื่องใหญ่และการที่รัฐบาลยังผลักดันนโยบายด้านพลังงาน ขึ่นราคาแก๊ส น้ำมัน ค่าไฟ จะกระทบกับเรื่องของเงินเฟ้อ และความเชื่อมั่นของประชาชนทำให้การจับจ่ายใ้ช้สอยได้รับผลกระทบแน่นอน หากเลือกจังหวะนี้ในการเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มก็จะเป็นการซ้ำเติมประชาชน และค่าครองชีพโดยตรง รัฐบาลควรทบทวนความจำเป็นในการใช้จ่ายของรัฐบาลใหม่ เพราะหลายโครงการอาศัยแนวคิดที่บอกว่าป้องกันน้ำท่วมแต่ไปไกลถึงโครงการอื่นๆ อีกมากมาย แม้กระทั่งโครงการที่ยังไม่มีการศึกษาผลกระทบ จึงคิดว่าขณะนี่ยังไม่ใช่จังหวะเวลาที่จะขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่รัฐบาลควรเร่งแก้ปัญหาค่าครองชีพ เงินเฟ้อ และทบทวนการใช้จ่ายของรัฐบาล แต่ถ้ารัฐบาลจะเดินหน้าเรื่องนี้ก็จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อราคาสินค่าให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชนมากขึ้น รวมถึงกดดันเงินเฟ้อจนอาจอยู่ในภาวะที่ควบคุมไม่ได้ก็จะกระทบเป็นลูกโซ่ไปถึงเสถียรภาพเศรษฐกิจโดยตรง
นายอภิสิทธิ์กล่าวด้วยว่า หากรัฐบาลต้องการหารายได้เพิ่มและคิดให้เกิดความเป็นธรรมกับประชาชนก็ควรจะเร่งผลักดันกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งในสมัยที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรีได้นำกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของสภาแล้ว แต่รัฐบาลปล่อยให้ตกไปและไม่มีนโยบายที่จะผลักดันเรื่องนี้ต่อ ทั้งๆ ที่จะช่วยขยายฐานภาษีและทำให้เกิดความเป็นธรรมต่อระบบการจัดเก็บภาษีช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ แตกต่างจากการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะเป็นภาระต่อประชาชนทั้งประเทศ ดังนั้นหากรัฐบาลต้องการขยายฐานภาษีก็ควรทำเรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพราะทำได้ทันทีและยังช่วยแก้ปัญหาความเป็นธรรมซึ่งเป็นเรื่องในเชิงโครงสร้างด้วย อีกทั้งยังไม่มีผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลถังแตกหรือเปล่าจึงพยายามหาวิธีรีดภาษีจากประชาชนเพิ่ม นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า รัฐบาลคิดถึงโคงการจำนวนมาก ในขณะที่การใช้จ่ายทั้งงบกลาง 1.2 แสนล้านเงินน้ำท่วมจากการออก พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาทก็ยังมีปัญหามากในเรื่องการกลั่นกรองโครงการ
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลมีแนวคิดที่จะนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมาใช้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานว่า เป็นเพราะรัฐบาลมีความคิดแต่จะใช้เงินไม่ประเมินภาวะเศรษฐกิจและความจำเป็นของประเทศ เพราะแม้ว่าจะมีความจำเป็นต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแต่ก็ไม่ใช่เงินจำนวนมากมายมหาศาลเท่าที่รัฐบาลกำลังจะดำเนินการโดยขาดรายละเอียดและพยายามหาเงินโดยผลักภาระให้ประชาชน ทำหลายสิ่งหลายอย่างที่อาจจะกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งตนเห็นว่ารัฐบาลต้องระมัดระวังเรื่องแนวคิดที่จะใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปลงทุน เนื่องจากรัฐบาลบริหารประเทศจนเกิดภาวะขาดดุล
สำหรับการเปลี่ยนแปลงประธานธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมีข่าวว่านายวีรพงษ์อาจจะได้ดำรงตำแหน่งนี้ และอาจจะกระทบต่อนโยบายการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมาลงทุนนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า อยากให้การเลือกสรรประธานธนาคารแห่งประเทศไทยมีความเป็นกลาง และปลอดจากการแทรกแซง ขอให้สนับสนุนคนที่จะรักษาเจตนารมณ์และแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทย เพราะประเทศไทยมีความแข็งแกร่งด้านการเงินการคลังมาโดยตลอด มียุคเดียวที่มีปัญหา คือ วิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ซึ่งเกิดปัญหาเพราะธนาคารแห่งประเทศไทยถูกแทรกแซงจากการเมืองในเรื่องสถาบันการเงิน อย่างไรก็ตาม กฎหมายปัจจุบันมีการเขียนป้องกันไว้อย่างดีที่สุด แต่ก็ไม่ทราบแนวทางว่าหากรัฐบาลต้องการแทรกแซงจะทำในรูปแบบไหน และถ้ามีการแทรกแซงเลือกคนที่จะตอบสนองความต้องการของตัวเองไปดำรงตำแหน่งประธานธนาคารแห่งประเทศไทยก็จะเป็นอันตราย เพราะเราต้องรักษาแนวทางที่จะให้การเงินมีวินัย ถ้ามีแรงกดดันทางการเมืองเข้าไปแทรกแซงนโยบายด้านการเงิน สถาบ้นการเงิน หรือคิดที่จะใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพียงอย่างเดียวก็จะเป็นอันตราย เพราะประธานธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีบทบาทสำคัญในระดับหนึ่งเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายร่วมกับกรรมการนโยบายการเงินและผู้บริหารของธนาคารแห่งประเทศไทย
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยมีหน้าที่ตามกฎหมายชัดเจนว่าสามารถทำงานร่วมกับรัฐบาลในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับเป้าหมายทางเศรษฐกิจร่วมกันไม่มีความจำเป็นที่จะเข้าไปแทรกแซงเพื่อให้ได่บุคคลที่จะมาสนองตอบความต้องการของรัฐบาลเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้ยังมีความเชื่อมั่นในความเข้มแข็งของผู้บริหาร ธปท. เพราะที่ผ่านมามีความพยายามกดดันหลายครั้งแต่ ธปท.ก็รักษาแนวทางและทำหน้าที่ของตนเอง
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยออกมาระบุว่าจะตีกรอบการอภิปรายร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ที่สามวันว่า ต้องว่ากันไปตามความเป็นจริงเพราะในขณะนี้ยังมีสมาชิกที่สงวนคำแปรญัตติต้องการอภิปรายอีกมาก โดยในวันพรุ่งนี้เริ่มอภิปรายมาตรา 291/6 ก็ยังมีสมาชิกที่รออภิปรายจำนวนมาก หากรัฐบาลต้องการให้เร็วขึ้น กรรมาธิการก็ควรรับฟังเหตุผลและพิจารณาว่าจะปรับปรุงแก้ไขได้หรือไม่ เพราะทางรัฐบาลปฏิเสธที่จะการหารืแสี่ฝ่ายค่อ กรรมาธิการฯ รัฐบาล ส.ว. และฝ่ายค้าน แต่ร้องการผลักดันตามความต้องการของตัวเองพรรคประชาธิปัตย์จึงต้องทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในการแสดงความไม่เห็นด้วยต่อบทบัญญัติต่างๆ เพราะมีปัญหาว่ารัฐบาลจะรวบอำนาจทำให้เชื่อได้ว่า ส.ส.ร.จะมีลักษณะที่สนองตอบแค่เสียงข้างมาก ซึ่งไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น รัฐธรรมนูญควรเป็นกฎหมายสำหรับทุกคน ไม่ใช่กฎหมายสำหรับเสียงข้างมาก
ส่วนกรณีที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม กล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์ว่าค้านทุกเรื่องนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่ทราบว่า พล.อ.อ.สุกำพลไปอยู่ไหนมา เพราะในช่วงที่เกิดปัญหาน้ำท่วม พรรคประชาธิปัตว์ช่วยรัฐบาลทำงานในการช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ในการพิจารณาร่างกฎหมายที่สำคัญซึ่งพรรคเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองก็ให้การสนับสนุน เช่น การออก พ.ร.ก.กองทุนประกันภัย จึงไม่ควรกล่าวหาเพื่อให้เกิดความสับสน เพราะที่พรรคประชาธิปัตย์คัดค้าน คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ทางการเมือง และการนำเอาเรื่องปรองดองมาบังหน้าเพื่อล้างผิดให้คนโกง