“กิตติรัตน์” โต้ “อภิสิทธิ์” กู้แหลกละเลงประชานิยม “เงินเฟ้อ” เป็นเรื่องที่เกิดทั่วโลก พร้อมยอมรับ ของแพงจริงแต่ถูกกว่าอดีต ฉุนข้อกล่าวหาแพงทั้งแผ่นดินไม่เป็นความจริง เพราะบางอย่างก็มีราคาถูก แต่ภาพที่ออกมาเป็นลบ เพราะรัฐบาลประชาสัมพันธ์ไม่เก่ง ลั่นไม่มีนโยบายขึ้นภาษี เพื่อเข็นการจัดเก็บรายได้ให้ทะลุเป้า ส่วนภาษีที่ดิน ไม่ใช่เรื่องด่วน สำหรับการสร้างความปรองดองไม่ได้อยู่ที่การใช้เงินอย่างเดียว แต่ต้องใช้ทัศนคติด้วย
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวชี้แจงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน ที่แสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับการจัดทำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2556 เพื่อใช้ในโครงการประชานิยมแบบไม่มีประสิทธิภาพ โดยปฎิเสธว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการกู้เงินเพียงอย่างเดียว เพราะรัฐบาลมีแผนบริหารหนี้สาธารณะไม่ให้เป็นภาระงบประมาณของแผ่นดิน และเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นปกติของโลก แต่ระดับของการขึ้นเป็นอัตราเฉลี่ยที่สามารถควบคุมได้ และมีอัตราน้อยกว่าประเทศคู่แข่งและคู่ค้า และน้อยกว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้ประชาชน สินค้าหลายรายการอาจแพงขึ้นตามสภาวะอากาศ หากเทียบกับปี 2554 ถือว่ามีราคาถูกลง
“ปีที่แล้ว ราคาน้ำมันปาล์มกระทรวงพาณิชย์กำหนดเพดานราคาขาย 47 บาท แต่ปรากฎว่าเวลานั้นประชาชนไม่สามารถหาซื้อในราคาดังกล่าวได้ เกิดปัญหาบริหารจัดการ แต่ปีนี้ราคาน้ำมันอยู่ 42 บาทต่อขวด โดยหาซื้อในราคาควบคุมได้ ส่วนราคาไข่พบว่า ไม่มีการพยายามเทียบเคียงราคาไข่ไก่ หรือไข่เป็ด เหมือนช่วงรัฐบาลที่ผ่านมา ดังนั้น หากบอกว่าแพงทั้งแผ่นดินจริง ทำไมยกเว้นไข่ที่ถือว่าเป็นโปรตีนราคาถูก รัฐบาลยอมรับว่าของแพงก็มี ของถูกก็มี แต่รัฐบาลให้ความสำคัญในการบริหารจัดการ เพียงแต่ว่ารัฐบาลอาจประชาสัมพันธ์ไม่เก่ง”
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะเดียวกัน รัฐบาลไม่มีนโยบายขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ส่วนการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลรัฐบาลไม่มีแผนนำภาษีตัวนี้เข้าไปรวมในราคาน้ำมัน และยืนยันว่า รายรับของปีงบประมาณ 2556 จำนวน 2.1 ล้านล้านบาท สามารถทำได้ตามเป้าแน่นอน หมายความว่า การปรับภาษีเพื่อเพิ่มรายรับจึงไม่มีความจำเป็น อย่างไรก็ตาม หากจะปรับภาษีจะเป็นไปในแนวทางเพื่อส่งเสริมกิจกรรมต่างๆ ตามสมควร ไม่ใช่ดำเนินการเพื่อหวังรายได้เพิ่มขึ้น
“ภาษีที่ดิน ภาษีโรงเรือน ภาษีสิ่งปลูกสร้าง ไม่ได้เป็นเรื่องเร่งด่วนของรัฐบาล รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับสิ่งดีๆ ทั้งสิ้น โดยพร้อมสานต่อนโยบายรัฐบาลในอดีตในบางเรื่อง แต่รัฐบาลปัจจุบันก็มีเหตุผลที่จะคิดแตกต่างกันเพราะเห็นว่าไม่สอดคล้องกับแนวคิดในการนำพาประเทศนี้ไปสู่สภาวะการเจริญเติบโตที่ดี”
นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า งบประมาณที่ตั้งไว้สามารถดูแลและเสริมกลไกการแข่งขันและทำให้กลไกตลาดทำงานต่อไปได้ คณะรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการเจริญเติบโตเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพควบคู่ไปกับการกระจายรายได้ที่ดี สำหรับการสร้างความปรองดองไม่ได้อยู่ที่การใช้เงินอย่างเดียว แต่ต้องใช้ทัศนคติด้วย รัฐบาลชุดนี้ได้ดำเนินนโยบายกับประชาชนเป็นรายกลุ่มก็จริง แต่ไม่ได้มีเจตนานำเอาภาษีของรัฐไปเอื้อประโยชน์
ทั้งนี้ กองทุนการออมแห่งชาติยอมรับว่า ได้มีการออกมาเป็น พ.ร.บ. เรียบร้อยแล้ว ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ดำเนินการให้สอดคล้องกับรัฐบาล แต่ก่อนจะดำเนินการรัฐบาลจะต้องดูให้เกิดความรอบคอบว่าแนวทางที่วางเอาไว้ตั้งแต่อดีตมีความเหมาะสมหรือไม่ โดยอาจจะใช้งบประมาณบริหารจัดการน้อยลงเหลือประมาณ 720 ล้านบาท รวม 2 ปี เพียงพอให้กองทุนการออมเดินหน้าต่อไปได้