“บรรเจิด” ชี้ต้นตอปัญหาประเทศ คือการผูกขาดอำนาจของฝ่ายการเมือง ระบุต้องกระจายอำนาจการปกครองลงสู่ท้องถิ่นอย่างแท้จริงถึงจะปฏิรูปประเทศได้ ซึ่งขณะนี้มีชาวบ้านหลายจังหวัดตื่นตัวมาก เชื่อนักการเมืองไม่ยอมแน่ ประชาชนต้องต่อสู้เรียกร้องให้ได้มา
วันที่ 19 เม.ย. นักวิชาการกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ โดย ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ คณบดีนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และนายศักดิ์ณรงค์ มงคล นักวิชาการอิสระ ได้ร่วมพูดคุยในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV
นายบรรเจิดกล่าวว่า หลังปี 2475 สังคมไทยถูกผูกขาดโดยชนชั้นนำมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มทหาร หรือกลุ่มทุน ไม่มีพื้นที่ผลประโยชน์ที่ตกกับประชาชน เพราะชนชั้นนำเป็นผู้กำหนดทิศทางของประเทศ สิ่งนี้นำมาสู่ปัญหาความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรม ที่พันธมิตรฯ ออกไปสู้แล้วเปลี่ยนเฉพาะตัวผู้นำ ฐานรากของปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข ต่อให้สู้อีก 10 ครั้ง ก็แก้ปัญหาไม่ได้ ยิ่งวันนี้ชัดเจนมากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าต้องปฏิรูปประเทศขนานใหญ่
ถ้าปล่อยไปไม่ทำอะไร นโยบายประชานิยมจะทำให้คนไทยเป็นหนี้สาธารณะมากขึ้นจนประเทศเกิดวิกฤต และการรวบรวมความมั่งคั่งไปสู่ทุนก็จะสูงขึ้น ในขณะที่ผลประโยชน์ไม่ได้ตกสู่ประชาชน
นายบรรเจิดกล่าวอีกว่า โครงสร้างสถาบันการเมืองในปัจจุบัน ไม่ว่าจะมีทั้ง ส.ส.-ส.ว. แต่ท้ายที่สุดก็อยู่ภายใต้อำนาจพรรคการเมือง การกำหนดนโยบายความเป็นไปของบ้านเมือง ก็อยู่ภายใต้นโยบายพรรคการเมือง อย่างนี้ยิ่งเอื้อการผูกขาด และยิ่งระบบพรรคการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญที่เราเป็นอยู่ ยิ่งทำให้การผูกขาดเข้มแข็งมากขึ้น ฉะนั้น ประเด็นเรื่องการกระจายโครงสร้าง ในเรื่องสถาบันการเมืองอย่าให้ผูกขาด จึงเป็นคีย์ใหญ่ที่สุดในการปฏิรูปการเมือง
กระแสนี้ประชาชนก้าวหน้าไปมากกว่านักวิชาการแล้ว ประชาชนคิดเรื่องจังหวัดจัดการตัวเอง มีทั้งเชียงใหม่ อำนาจเจริญ ปัตตานี กรุงเทพฯ เป็นกระแสความตื่นตัว คืออาการที่ประชาชนอึดอัดกับการรวมศูนย์ ฉะนั้นถ้าจะสรุป ก็คือการกระจายอำนาจคือการปฏิรูปประเทศไทย
นายบรรเจิดกล่าวต่อว่า การรวมศูนย์มี 2 ระดับ คือ ระดับราชการ กับระดับการเมือง หากทำให้ส่วนภูมิภาคคลายลง แล้วมันจะเชื่อมมายังสถาบันการเมือง มีตัวแทนเข้าไปในสภาเพื่อต่อรองผลประโยชน์คนในพื้นที่ การกระจายอำนาจคือคำตอบที่จะกระจายการรวมศูนย์ของทั้งระดับราชการ และการเมือง
แน่นอนนักการเมืองไม่ยอมรับการกระจายอำนาจ ซึ่งเราต้องต่อสู้เรียกร้อง ก่อนต่อสู้ต้องทำความเข้าใจให้ประชาชนตระหนัก ว่าแนวทางไหนมีประโยชน์ต่อคนในพื้นที่อย่างแท้จริงมากกว่ากัน อย่างจังหวัดอำนาจเจริญตอนนี้ มีธรรมนูญของอำนาจเจริญ เป็นทิศทางที่คำนึงถึงคนในพื้นที่ คือทิศทางที่กำหนดเอง ไม่ใช่หยิบยื่นให้จาก กทม.
นายศักดิ์ณรงค์กล่าวว่า เราเป็นรัฐประหลาด กติกาที่มี อะไรถูกอะไรผิด เพี้ยนไปได้หมด นโยบายประชานิยมแม้ไม่มีความชอบธรรม แต่เพื่อคะแนนนิยมก็ยินดีให้มันเป็น ทรัพยากรมีมากมายมหาศาล แต่ผลประโยชน์กลับไม่ตกที่ประชาชน
ตั้งแต่มีนักการเมืองและรัฐสภา บางมิติดีขึ้น บางมิติก็แย่ลง โดยเฉพาะการผูกขาดอำนาจ พอมีอำนาจก็ไม่อยากเสียอำนาจไป ซึ่งเราก็อยากให้ระบบแก้ปัญหาด้วยตัวของมันเอง แต่จะเป็นไปได้หรือ
นายศักดิ์ณรงค์กล่าวด้วยว่า การกระจายอำนาจทุกวันนี้มีอยู่ แต่เป็นการกระจายที่มีสุ่มครอบ ระดับท้องถิ่นก็มี อบต. อบจ.เข้าไปครอบ ซึ่งกระแสที่อยากปกครองตนเอง จัดการตัวเอง วันนี้มันเริ่มมากขึ้น แล้วจะเป็นกระแสนำร่องให้พื้นที่อื่นๆ ทำตาม