“สุริยะใส” ระบุแนวคิดให้ “ป๋าเปรม” พบ “นช.แม้ว” บิดเลือนหลักการปรองดอง แค่ฮั้วทางการเมือง มีเป้าหมายดึงประธานองคมนตรีและสถาบันเป็นคู่ขัดแย้ง ชี้คนแรกที่ “ทักษิณ” ต้องเข้าพบคือ “ศาล” เท่านี้ พร้อมจี้สถาบันพระปกเกล้า ถอนงานวิจัยก่อนไม่มีโอกาสได้แก้ตัว
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน กล่าวว่า ข้อเสนอของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา และแกนนำเสื้อแดงที่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เจรจาพูดคุยกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี สองต่อสองเพื่อการปรองดองของประเทศนั้น เป็นแนวคิดที่บิดเบือนจากแนวทางปรองดองที่ควรจะเป็น
นายสุริยะใสกล่าวว่า ความขัดแย้งแตกแยกในสังคมไทยขณะนี้ไม่ใช่เรื่องของคนสองคน แต่เป็นเรื่องที่คนทั้งประเทศต้องมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง การปรองดองต้องตอบโจทย์ความขัดแย้งของบ้านเมืองอย่างแท้จริง ไม่ใช่ตอบโจทย์และความอยากส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น
“ที่สำคัญแนวคิดแบบนี้กำลังบิดเบือนด้วยการดึงเอาป๋าเปรม ในฐานะประธานองคมนตรีและสถาบันมาเป็นคู่ขัดแย้งกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าเป็นต้นเหตุให้ พ.ต.ท.ทักษิณหลุดพ้นจากอำนาจ ซึ่งข้อเท็จจริงที่เป็นต้นเหตุความขัดแย้งทั้งปวงที่ยืดเยื้อเรื้อรังและร้าวลึกมานาน เกิดจากความก้าวร้าวและเหิมเกริมในอำนาจของระบอบทักษิณที่พยายามคุกคามครอบงำองค์อำนาจต่างๆ ในสังคมให้ขึ้นตรงและศิโรราบต่อตัวเอง”
นายสุริยะใสกล่าวว่า กระบวนการปรองดองไม่ไปไหนเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณพยายามเอาชนะกระบวนการยุติธรรม เมื่อตัวเองเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้วถูกศาลตัดสินให้แพ้คดี กลับกล่าวหากระบวนการยุติธรรมว่าเลือกปฏิบัติ และไม่มีความยุติธรรม แต่ในขณะเดียวกัน ตัวเองก็ไล่ฟ้องคนอื่น และปีติยินดีขอบคุณศาลเมื่อตัวเองเป็นฝ่ายชนะคดี พฤติกรรมแบบนี้เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำลายกระบวนการปรองดองตลอดมา และถ้า พ.ต.ท.ทักษิณยังคิดแบบนี้ถืออัตตาเป็นใหญ่ ไม่คิดเสียสละเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้ ก็เลิกคิดเรื่องการปรองดองเพราะไม่มีทางเกิดขึ้น
ฉะนั้นข้อเสนอให้ พ.ต.ท.ทักษิณเข้าพบ พล.อ.เปรม ก็แค่ความพยายามจะฮั้วทางการเมือง และหาวิธีพิเศษเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเท่านั้น คนที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะเข้าพบคนแรกถ้ากลับมาเมืองไทยก็คือศาลสถิตยุติธรรมเท่านั้น
ส่วนข้อเสนอของสถาบันพระปกเกล้านั้น วันนี้ชัดเจนว่าถูกพรรคเพื่อไทยบิดเบือนตัดตอนไปมาก สถาบันพระปกเกล้าต้องถอนงานวิจัยออกมาโดยเร็ว อย่าคิดอะไรซับซ้อนหรือเป็นการเมืองมากเกินไป เพราะสถาบันมีสถานะทางวิชาการต้องระมัดระวัง แม้สถาบันจะไม่มีเจตนาเข้าไปอยู่ในเกมการเมืองเรื่องปรองดองก็ตาม แต่วันนี้เกมมันไปไกลพอสมควรแล้ว และงานวิจัยนี้กำลังดึงสถาบันพระปกเกล้าเข้าไปอยู่ในเกมการเมือง และจะส่งผลต่อเกียรติภูมิของสถาบันอย่างรุนแรง ถ้าหากความขัดแย้งเรื่องการปรองดองในสภาลุกลามบานปลายมาเป็นการเผชิญหน้าของมวลชนนอกสภา ถึงตอนนั้นสถาบันพระปกเกล้าอาจจะไม่มีโอกาสได้แก้ตัว