ผู้นำฝ่ายค้าน ชี้ อุทาหรณ์การประชุมรัฐสภา 27 มี.ค.หวังล้างความผิดให้คนโกง อุปสรรคแห่งความปรองดอง เคืองเป็น ส.ส.มา 20 ปี ไม่เคยถูกปิดไมค์ใส่หน้า ระบุ สถาบันปกเกล้า ต้องรับผิดชอบ เหตุให้การเมืองใช้เป็นเครื่องมือช่วยฟอกคนผิด
วันนี้ (28 มี.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงบรรยากาศการประชุมเมื่อวันที่ 27 มี.ค.ที่ผ่านมา ว่า หากเป็นเช่นนี้คงไม่ดี เป็นตัวที่บ่งบอกว่า รัฐบาลพยายามที่จะผลักดันสิ่งที่เรียกว่า ปรองดอง แต่ความจริง คือ การมุ่งหมายล้างผิดให้คนโกง ก็จะมีแต่ความขัดแย้ง และถ้าอยากทำความปรองดองก็ต้องเคารพเจตนารมณ์ของทุกคนโดยมีการหยิบเอาเรื่องราวต่างๆ มาพูดคุยให้เกิดบรรยากาศการยอมรับที่เป็นจุดร่วม แต่ถ้าพยายามทำและมีความเคลือบแคลงเรื่องความถูกต้องตลอดเวลา การปรองดองก็จะเดินยาก เพราะจะเป็นบรรยากาศของความขัดแย้ง
“ขอให้รัฐบาลทบทวนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 เป็นการปรองดองหรือไม่ จะกลับไปทบทวนเพื่อแก้ไขอย่างไรให้ถูกต้อง คิดว่าสังคมต้องการให้ฝ่ายการเมืองทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ มากกว่าที่จะสร้างความขัดแย้งใหม่ขึ้นมาในภาวะที่ประชาชนกำลังเดือดร้อนจากภาวะเศรษฐกิจ ส่วนคณะผู้วิจัยและสถาบันพระปกเกล้า จะต้องมีการพิจารณาในเรื่องนี้ ต่อไป
นายอภิสิทธิ์ แสดงความแปลกใจที่ นายวุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันฯ ออกมากล่าวว่า จะไม่มีการดำเนินการอะไรอีก เพราะไม่ทราบว่ามีความคิดอย่างไร ต้องการมาช่วยทำงานเรื่องปรองดอง เพราะเห็นว่า งานที่ทำกำลังจะถูกนำไปใช้ และทำให้เกิดปัญหาความวุ่นวายในบ้านเมืองจะบอกว่า อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดคงไม่ได้ เพราะทุกคนมีความรับผิดชอบ ส่วนจะเป็นการลอยตัวออกจากปัญหาหรือไม่ ตนมองว่า ถ้ามีการนำรายงานไปใช้ และสุดท้ายจะเป็นปัญหากับประเทศจะทำให้ผู้วิจัยและสถาบันตกเป็นจำเลยต่อสังคม หากยืนยันว่า มีเจตนาที่จะสร้างความปรองดองก็ต้องมาแก้ไข ปล่อยไปไม่ได้ เพราะต้องยอมรับว่า ถ้าไม่มีรายงานของคณะผู้วิจัย ทางกรรมาธิการหรือสภาเสียงข้างมาก ก็ไม่สามารถหยิบฉวยไปใช้ได้ และถ้าอ้างว่าไม่มีอำนาจก็สามารถเสนอเรื่องมาที่คณะกรรมการ คิดว่า คงได้พิจารณา และในการประชุมของสถาบันในสัปดาห์หน้านั้นก็คงจะต้องมีการสอบถามในเรื่องนี้
เมื่อถามว่า จะหวังผลได้หรือไม่ว่าในการพิจารณาจะมีทางออกนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนตอบอะไรล่วงหน้าไม่ได้ แต่คิดว่าสถาบันต้องมีความรับผิดชอบต่อสภาฯและสังคม และคงต้องพยายามทำบทบาทที่สร้างสรรค์เพื่อให้บ้านเมืองเดินต่อไปได้ และตนจะดูว่าในวาระเลขาฯจะรายงานเรื่องนี้หรือไม่ เพราะยังไม่มีการวางวาระการประชุมมาให้ทราบ
“ส่วนการพิจารณาในสภานั้น ผมไม่อยากให้เหมือนวันที่ 27 มี.ค.ผมอยู่สภามา 20 ปี ไม่เคยมีใครมาเปิดไมค์ใส่ และหากยังมีการเดินหน้าต่อไปบ้านเมือง ก็จะวุ่นวายขัดแย้ง และถึงทำสำเร็จในแผนที่วางเอาไว้ก็ไม่ได้ความว่า ทุกอย่างจะเรียบร้อยตามที่คิด เพราะวันข้างหน้า กำลังสร้างบรรทัดฐานที่ผิดๆ ทำลายระบบ สุดท้ายทุกคนก็เดือดร้อน ระบบต่างๆ จะอ่อนแอลงค่านิยมพื้นฐานที่เกี่ยวกับความรุนแรงจะกลายเป็นว่าต่อไปนี้ใครจะใช้วิธีการอะไรก็ได้ถ้ามีอำนาจถ้าชนะก็ทำผิดเป็นถูกได้”
เมื่อถามว่า มีผู้มีอาวุโสทางการเมือง ออกมากล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดจากคน 2 คน และอยู่เบื้องหลัง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่แปลกใจว่า ทำไมบางคนจะมาอยู่เบื้องหลัง บางคนดิ้นรนที่จะหลุดพ้นจากคดี หรือความผิดไม่แปลก แต่สิ่งที่ต้องตั้งคำถามกลับไป คือ คนที่มีหน้าที่ ทำงานให้บ้านเมืองทำไมต้องไปรับใช้บุคคลเหล่านั้น ทำไมไม่คิดถึงประโยชน์ของประชาชนส่วนรวม