ช่างสอดรับกันดียิ่งกว่าอะไร เมื่อ “ทักษิณ ชินวัตร”มาป้วนเปี้ยนอยู่ที่กรุงพนมเปญ กัมพูชา ตลอดสุดสัปดาห์นี้ไปจนถึงต้นสัปดาห์หน้า แถมมีข่าวว่าวางโปรแกรมใหญ่ เทศกาลสงกรานต์ปีนี้จะมาเล่นสาดน้ำสงกรานต์ที่ลาวโดยปักหลักที่เมืองเวียงจันทน์สามวันสามคืน
ในห้วงเวลาเดียวกันก็ปรากฏข่าว คณะกมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎรชุดพลเอกสนธิ บุญยกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิเป็นประธานหรือเรียกกันสั้นๆ ว่ากมธ.ปรองดองทำงานขมีขมัน
เร่งจะสรุปแนวทางการสร้างความปรองดองทางการเมือง ให้ออกมาเป็นข้อสรุปอย่างเป็นทางการให้เร็วที่สุด จัดพิมพ์เป็นเอกสารฉบับสมบูรณ์รายงานให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฏรรับทราบภายในสมัยประชุมนี้เลย ก่อนที่จะมีการปิดสมัยประชุม 18 เมษายนนี้
เสมือนหนึ่งกรรมาธิการโดยเฉพาะกรรมาธิการจากพรรคเพื่อไทย ต้องการให้มีความเคลื่อนไหวออกมาในช่วงนี้จะได้เป็นการเอาอกเอาใจ “ทักษิณ”ซึ่งอยู่ระหว่างการเดินสายในกลุ่มประเทศเอเซียจะได้รับรู้ความคืบหน้าการทำงานของกรรมาธิการชุดนี้ว่า ได้ทำอะไรไปบ้าง ที่จะเป็นประโยชน์กับทักษิณ
หลังจากที่ มีกระแสข่าวว่าทักษิณได้ให้ความสนใจติดตามถามความคืบหน้าการทำงานของกรรมาธิการชุดนี้ค่อนข้างมาก เห็นได้จากข่าวว่าโทรศัพท์มาพูดคุยกับนายวัฒนา เมืองสุข รองประธานกมธ.วิสามัญชุดนี้ตลอดเวลาว่าทำงานอะไรไปถึงไหนแล้ว
แถมมีเสียงยืนยันด้วยว่า บางจังหวะทักษิณ ก็คอยให้คำแนะนำวัฒนาและกรรมาธิการของพรรคเพื่อไทยอีกหลายคน ขีดเส้นให้กรรมาธิการชุดนี้ต้องขับเคลื่อนแบบไหนเพื่อให้บทสรุปออกมาเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายเพื่อจะได้ใช้บทสรุปของกรรมาธิการเป็นเครื่องมือในการแผ้วถางทางการเมืองให้กับทักษิณและพวก
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจ ที่เหตุใด กรรมาธิการปรองดองจากพรรคเพื่อไทย ดูจะเร่งรีบในการจะสรุปผลแนวทางการสร้างความปรองดองในนามกรรมาธิการที่มีทั้งฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้านหรือแม้แต่อดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร อย่างพลเอกสนธิก็เหยียบคันเร่งเต็มที่
ขนาด “สถาบันพระปกเกล้า” จัดทำรายงานข้อเสนอแนวทางสร้างความปรองดองแห่งชาติส่งให้กรรมาธิการแค่หนึ่งสัปดาห์และการประชุมกรรมาธิการปรองดองเมื่อ 13 มีนาคม ที่ประชุมก็ยังไม่ได้ข้อสรุปอะไร ว่าเห็นด้วยกับแนวทางที่พระปกเกล้าเสนอมาหรือไม่ กำลังรอความเห็นจากกรรมาธิการทุกคนก่อน
แต่ดันมีการเผยแพร่เอกสาร บทสรุปอย่างไม่เป็นทางการของกมธ.ปรองดองพิมพ์ไว้หมดแล้วว่า กรรมาธิการปรองดองเห็นว่าการแก้ปัญหาการเมืองในประเทศจำเป็นต้องใช้วิธีการนิรโทษกรรมคดีชุมนุมทางการเมืองและทบทวนผลการตรวจสอบคดีต่างๆของอดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)
โดยที่กรรมาธิการจากซีกประชาธิปัตย์ยืนกรานว่า ยังไม่มีการทำบทสรุปอะไรขึ้นมาในนามกรรมาธิการ แล้วไฉนจึงเกิดเอกสารดังกล่าวเผยแพร่ไปทั่ว
ใครเป็นคนทำบทสรุปไม่เป็นทางการดังกล่าว ตั้งแท่นเอาไว้ล่วงหน้า ทั้งที่กรรมาธิการยังไม่มีข้อสรุป แต่กลับเขียนเอาไว้แล้ว เรื่องนี้มันน่าแปลกใจอย่างยิ่ง
เพราะแสดงให้เห็นได้อย่างหนึ่งว่า มีความพยายามของกรรมาธิการบางสายที่คงเป็นฝ่ายไหนไม่ได้นอกจากฝั่งเพื่อไทย ต้องการเร่งทำบทสรุปในนามกรรมาธิการปรองดองซึ่งเห็นว่า
ทุกฝ่ายควรเดินไปตามแนวที่สถาบันพระปกเกล้า ซึ่งทำวิจัยเรื่องแนวทางการสร้างความปรองดองให้กับกรรมาธิการปรองดองได้วางไลน์เอาไว้
เช่นให้มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมคดีชุมนุมการเมืองทั้งหมด คือล้มล้างความผิดให้กับทั้งแกนนำ-เจ้าหน้าที่รัฐ-นักการเมือง-ผู้ถูกดำเนินคดีอาญา และทบทวนคดีความที่คตส.เป็นผู้สอบสวนทั้งคดีที่ตัดสินไปแล้วและศาลยังไม่ได้ตัดสิน
วัตถุประสงค์ของการเร่งรีบผิดปกติแบบนี้ของกรรมาธิการปรองดอง ชุด “บิ๊กบัง”จึงน่าสงสัยอย่างยิ่งว่า มีเจตนาอะไรแอบแฝงซ่อนเร้นหรือไม่
“ทีมข่าวการเมืองASTVผู้จัดการ”ไม่ได้สงสัยหรือเคลือบแคลงกรรมาธิการปรองดองทั้งหมด เพราะหลายคนแม้แต่ที่มาจากพรรคเพื่อไทย ก็แลดูมีความตั้งใจดีในการช่วยกันคิดหาทางสร้างความปรองดองให้กับชาติ ไม่ได้เข้ามาเป็นกรรมาธิการเพราะหวังทำงานช่วยเหลือทักษิณ จะได้มีตำแหน่งการเมืองตอบแทน เหมือนอย่างที่กรรมาธิการปรองดองบางคนพยายามเป็นตัวตั้งตัวตีทำให้กรรมาธิการปรองดองเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือการเมืองให้ทักษิณ เพราะหวังจะได้ตำแหน่งรัฐมนตรีหากแผนเรื่องปรองดองนี้สำเร็จ
แต่ “ทีมข่าวการเมือง”ก็เห็นว่ากรรมาธิการปรองดอง ก็ควรต้องตรวจสอบพวกเดียวกันเองด้วยว่าใครมีวาระซ่อนเร้นอะไรหรือไม่ เพราะแถลงว่ายังไม่มีข้อสรุปอะไร แต่กลับไปพิมพ์ร่างข้อสรุปเอาไว้ก่อนแล้ว มันก็ชอบกลเห็นๆ
ขอยกตัวอย่างบทสรุปต้นร่างดังกล่าวของกรรมาธิการปรองดองที่ตั้งแท่นรอไว้แล้วมาบางส่วน อาทิ ส่วนที่พยายามบอกว่าปัญหาการเมืองและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นหลายปีที่ผ่านมา หากไม่ทำอะไรสักอย่างปัญหาจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น โดยระบุว่า
“ ในกรณีของประเทศไทยเป็นการสร้างความปรองดองในขณะที่คู่กรณีและสาเหตุแห่ง ความขัดแย้งยังคงดำรงอยู่ซึ่งอาจเกิดการเผชิญหน้าที่นำไสู่เหตุการณ์ความ รุนแรงได้อีกตลอดเวลา การสร้างความปรองดองของสังคมไทยจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่จะต้องร่วมกันนำพาประเทศก้าวข้ามความขัดแย้งในครั้งนี้ไปให้ได้”
หรือการวิเคราะห์สถานการณ์ของกรรมาธิการต่อปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง
“คณะกรรมาธิการพบว่าประเด็นที่อ่อนไหวอันอาจนำไปสู่การเผชิญหน้าของผู้คนใน สังคมและนำไปสู่เหตุการณ์ความรุนแรงได้ในที่สุดขณะนี้ประกอบด้วย
(1) ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวข้องกับการแก้ไขมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา (2) ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (3) ประเด็นการปรองดองโดยเฉพาะการนิรโทษกรรมแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง
จึงจำเป็นที่ทุกฝ่ายจะต้องป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งอันอาจนำไปสู่ความรุนแรงได้อีก หากรัฐบาลยังไม่สามารถทำความเข้าใจหรือสร้างกระบวนการให้เป็นที่ยอมรับจากสังคมได้ จะกลายเป็นประเด็นความขัดแย้งใหม่ของสังคมในที่สุด”
และในส่วนของไฮไลท์สำคัญช่วงท้ายๆ อย่างเช่น
“คณะกรรมาธิการเห็นด้วยกับผลการศึกษาของสถาบันพระปกเกล้าที่เห็นว่าสังคมไทย มีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินมาตรการสร้างความปรองดองระยะสั้นเพื่อวัตถุ ประสงค์ให้การใช้ความรุนแรงยุติลง ทำให้ความขัดแย้งบาดหมางและบาดแผลที่้เกิดขึ้นกับสังคมและปัจเจกบุคคลกลับ คืนสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด
ด้วยการให้อภัยผ่านกระบวนการนิรโทษกรรมคดีที่ เกี่ยวกับเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองโดยรวมถึงกลุ่มผู้ชุมนุมทุกฝ่าย เจ้าหน้าของรัฐ และผู้บังคับบัญชา ตลอดจนผู้มีหน้าที่ความรับผิดชอบในการรักษาความสงบเรียบร้อย
รวมทั้งเสริมสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินคดีกับผู้ที่ถูกกล่าวหาจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ด้วยการคืนความถูกต้อง และความชอบธรรมบนพื้นฐานของหลักนิติธรรมให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบไปพิจารณาดำเนินการให้เกิดรูปธรรมโดยเร็วที่สุด”
“ทีมข่าวการเมือง”ไม่ได้ขัดขวางกระบวนการปรองดองหรือสร้างความสมานฉันท์ในสังคม เพราะไม่มีคนไทยคนไหนที่ไม่อยากเห็นสังคมไทยกลับไปอยู่กันอย่างสงบสันติสุข
เพียงแต่การปรองดองนั้น เราเห็นว่า ต้องทำอย่างเปิดเผย ไร้วาระซ่อนเร้น ไม่ได้ทำเพื่อหวังให้ประโยชน์กับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยทำลายซึ่งนิติรัฐ-นิติธรรม คนทำผิดกฎหมายบ้านเมืองโดยเฉพาะคดีอาญาร้ายแรงเช่น ปลุกระดมให้เกิดความรุนแรง -ทุจริตคอรัปชั่น ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มไหน ทั้งหมดต้องผ่านกระบวนการยุติธรรมเพื่อพิสูจน์ความจริงและความบริสุทธิ์ของตัวเองก่อน
ไม่ใช่มาออกกฎหมายเพื่อล้างผิดช่วยเหลือพวกเดียวกันหรือช่วยเหลือตัวเอง เพราะหากทำเช่นนั้นก็จะเป็นการแก้ปัญหาหนึ่งเพื่อเพาะปัญหาใหม่ขึ้นมาอีกไม่จบสิ้น จะเป็นแค่ปรองดองแบบขอไปที หาใช่ปรองดองแบบยั่งยืนและได้ผล
ที่สำคัญ คนที่จะมีส่วนสร้างความปรองดองต้องเคลียร์ตัวเองให้สังคมประจักษ์ชัดด้วยว่าไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์แอบแฝง
โดยเฉพาะตัว “บิ๊กบัง-พลเอกสนธิ” อดีตประธานคมช.ผู้เซ็นตั้งคตส.มากับมือ เป็นคนไปโทรศัพท์ถึงอดีตคตส.เพื่อขอร้องให้มาร่วมงานเป็ฯกรรมการคตส.หลังทำรัฐประหารทักษิณ ชินวัตร 19 กันยายน 49 ถ้าวันนี้ บิ๊กบัง จะเขียนด้วยมือลบด้วยเท้า จากที่ “บิ๊กบัง”เคยไปพูดในงานเลี้ยงอำลาคตส.ที่สโมรสรกองทัพบกเมื่อหลายปีก่อน ว่าคตส.คือผู้เสียสละทำงานให้ชาติบ้านเมือง
แล้ววันนี้เมื่อมาเป็นนักการเมือง นั่งเป็นประธานกมธ.ปรองดอง กลับออกมาบอกว่า ที่ผ่านมา การสอบสวนของคตส.ไม่ได้อยู่บนหลักพื้นฐานของการให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย สอบสวนคดีแบบไม่เป็นธรรม จึงควรต้องเลิกๆกันไป บ้านเมืองต้องเดินหน้าปรองดอง อะไรที่มันแล้วก็แล้วกันไป ใครทำผิดกฎหมายบ้านเมือง ก็ให้หยวน ๆกันไป แล้วก็เข็นรายงานกรรมาธิการปรองดองที่หนุนการล้มล้างคดีความผิดทุจริตคอรัปชั่น-การเผาบ้านเผาเมือง ออกมา เหมือนกับว่า จ็อบนี้ “บิ๊กบัง” ปิดบัญชีแล้ว เสร็จภาคกิจลับแล้ว
ก็ต้องบอกไว้เลยว่า รายงานดังกล่าวของกมธ.ปรองดอง เมื่อเจตนาต้นทางมันเห็นชัดว่าไม่บริสุทธิ์ เพราะเป้าหมายคือต้องการให้มีการนำรายงานนี้ไปต่อยอดออกกฎหมายนิรโทษกรรมหรือแก้รัฐธรรมนูญ
โดยอ้างว่าสภาฯ ที่รัฐบาลคุมเสียงข้างมากอยู่ในสภาฯ เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ เลยสมอ้างเสร็จสรรพ ถ้าคิดใช้วิธีนี้ รายงานที่กมธ.ปรองดอง จะเร่งพิมพ์ออกมา มันก็จะไม่มีคุณค่าอะไรเลยแม้แต่จะเอาไปรองถังขยะ
เพราะมันก็แค่ กระดาษเปื้อนหมึก ที่ไม่ควรค่าแม้แต่จะอ่านสักบรรทัด