ผู้นำฝ่ายค้าน ชี้ รัฐบาลจะสร้างความปรองดองสำเร็จต้องก้าวข้าม “ทักษิณ” หวังพลังทางสังคม ถ่วงดุล ยัน เดินหน้าค้านถึงที่สุดหากยังทำเพื่อคนๆ เดียว เตือน พท.หนุนแดงกร่างทำคนเห็นต่างอึดอัด ติงอย่าอ้างมั่ว 66 ล้านเสียง หนุนแก้ รธน.แนะให้เคารพ 15 ล้านเสียง ที่ไม่เลือกเพื่อไทยบ้าง
วันนี้ (8 มี.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงผลศึกษาของสถาบ้นพระปกเกล้า ที่มีการระบุถึงทางเลือกในการปรองดองไว้หลายแนวทาง รวมทั้งการนิรโทษกรรม ว่า ยังไม่ได้เห็นผลการศึกษาดังกล่าวอย่างเป็นทางการ แต่ติดตามการทำงานของคณะกรรมาธิการปรองดองที่ พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน เป็นประธาน ซึ่งก็ยังไม่ได้พิจารณาผลการศึกษานี้ อย่างไรก็ตาม เท่าที่เห็นจากสื่อมวลชนเป็นมาตรฐานจากการศึกษาในหลายประเทศ ว่า จะใช้วิธีการแบบใด เช่น ให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม หรือว่าจะมีการนิรโทษกรรมทั้งแบบจำกัดขอบเขต และไม่จำกัดขอบเขต เป็นเพียงแค่การนำเสนอฐานความรู้ที่จะนำมาปรับใช้โดยการตัดสินใจอยู่ที่ฝ่ายนโยบายที่ต้องพิจารณาในเหตุผลด้วย เช่น กรณี คอป.ก็ออกมาทักท้วงที่รัฐบาลนำข้อเสนอของ คอป.ไปอ้างทำเรื่องเยียวยาทั้งที่ไม่ตรงกับหลักการที่ คอป.เสนอไป ที่สำคัญ คือ แนวทางที่จะลดความขัดแย้งเพื่อสร้างความปรองดองยังต้องทำอีกหลายอย่าง โดยหัวใจสำคัญ คือ รัฐบาลต้องหลีกเลี่ยงทำในสิ่งที่จะเกิดความขัดแย้งเพิ่มเติม
ผู้สื่อข่าวถามว่า การวิจารณ์ว่า ผลการศึกษาของสถาบันพระปกเกล้า ทางที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะได้ประโยชน์มากกว่าการมุ่งเน้นสร้างควมปรองดองในชาติหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ทุกฝ่ายต้องได้ความเป็นธรรม ปากอ้างว่า ในขั้นตอนของ คตส.ไม่ได้ร้บความเป็นธรรม จะมีการตรวจสอบเพิ่มเติมก็เป็นสิ่งที่พอรับได้ แต่ถ้าจะบอกว่าเปลี่ยนแปลงล้มล้างสิ่งที่ คตส.พิจารณาทั้งหมดก็คงไม่ใช่ เพราะการพิจารณาของ คตส.ก็อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง ทั้งนี้ ตนไม่คิดว่าปัญหาเรื่องความปรองดองจะต้องหมุนอยู่ที่ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ต้องยอมรับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คือ ปัจจัยที่ขับเคลื่อนความขัดแย้ง จึงทำให้หลายคนมองว่าถ้าจะหยุดความขัดแย้งต้องมาดูปัญหาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งในประเด็นนี้ในช่วงที่ นายโคฟี่ อันนัน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาประเทศไทย ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ ก็ระบุชัด โดยตั้งคำถามไปที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ตัดสินใจหรือยังว่าจะเดินหน้าประเทศไทย หรือจะเดินหน้าวาระของตัวเอง
“ถ้าฟังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ที่เกาหลีล่าสุด ก็ดูเหมือนว่ายังไม่ยอมรับผิด ซึ่งจะเกิดคำถามว่าประเทศไทย สังคมไทยจะยอมรับไหมว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีสิทธิเหนือคนอื่น ทำผิดกฎหมายก็ตัดสินเองได้ว่าไม่ทำผิด ในขณะที่ไปชักชวนประชาชนระดมคนเสื้อแดง บอกจะเป็นผู้นำในการเคลื่อนไหว คนเสื้อแดงต้องรับผิดตามกฎหมาย แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ต้องร้บผิด เป็นความเป็นธรรมหรือเปล่า เป็นสองมาตรฐานหรือไม่ ถ้าตีโจทย์ตรงนี้ให้แตก ข้อเสนอและข้อพิจารณาต่างๆ ที่อาจจะถูกครอบ โดยความกังวลว่าต้องตอบโจทย์ ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีความชัดเจนมากขึ้น และผมคิดว่าแม้จะมีความพยายามลบล้างความผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่เชื่อว่าจะลบล้างในบางเรื่องได้ เพราะเป็นกระบวนการทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม อีกทั้งสังคมก็คงไม่ยอมรับเรื่องเหล่านี้ง่ายๆ ดังนั้น ถ้ารัฐบาลเห็นว่าความปรองดองเป็นนโยบายจริงต้องไม่ทำตามในสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการ แต่ต้องทำตามความถูกต้องและหาความพอดีในเรื่องนี้ ในฐานะฝ่ายค้านเราก็มีหน้าที่รักษาความถูกต้องอะไรที่จะไปทำเพื่อคน ๆ เดียวแล้วทำให้สังคมหรือส่วนรวมเสียหายเราก็คัดค้านอยู่แล้ว” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ผู้นำฝ่ายค้าน ยืนยันด้วยว่า ในการให้ความเห็นกับคณะทำงานของสถาบันพระปกเกล้าที่ทำการศึกษาเรื่องนี้ก็ได้ระบุชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องเดินทางกลับประเทศมารับผิดตามกฎหมาย และแม้ว่าการขับเคลื่อนหลายอย่างของรัฐบาลจะวางหลายแนวทางที่จะแก้ปัญหาให้ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ตนคิดว่าคงไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะจะมีความเห็นของสังคมมาเป็นตัวถ่วงดุลย์ที่รัฐบาลต้องรับฟัง แต่ในขณะนี้ก็เป็นห่วงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไปไกลมากขึ้นมีการอ้างประชาชน 66 ล้านคนสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญจากเดิมอ้างถึงคนที่เลือกพรรคเพื่อไทย 15 ล้านเสียง ซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริง จึงอยากย้ำว่าเสียงข้างมาก 15 ล้านเสียงต้องเกรงใจเสียงข้างน้อย 15 ล้านเสียงที่ไม่ได้เลือกพรรคเพื่อไทยด้วย
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกรณีที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี ไม่อนุญาตให้แกนนำเสื้อแดงจัดกิจกรรมทางการเมืองที่ดอนเจดีย์ ในขณะที่แกนนำเสื้อแดงยังยืนยันที่จะจัดกิจกรรมในสถานที่ดังกล่าว ว่า ทุกคนต้องเคารพกติกาจะเอาตัวเองเป็นใหญ่ทั้งหมดไม่ได้ โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยที่ประกาศเสมอว่าเป็นหนึ่งเดียวกับคนเสื้อแดง จะต้องส่งสัญญาณว่าต้องการให้สังคมเดินแบบไหน อย่าปล่อยให้คนที่เห็นต่างมีความอึดอัดสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่เป็นคุณกับการสร้างความปรองดอง และเห็นว่า รัฐบาลไม่เข้าใจคำว่าปรองดอง เพราะมีเป้าหมายตอบโจทย์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่ตอบโจทย์ให้กับสังคมไทย ทั้งนี้ ไม่ใส่ใจที่พรรคเพื่อไทยกล่าวหาว่าตนและพรรคประชาธิปัตย์ทำตัวเป็นอุปสรรคต่อการปรองดอง เพราะคนเหล่านี้กล่าวหาทุกเรื่องแม้กระทั่งการเดินทางไปญี่ปุ่นของตนที่พยายามช่วยรัฐบาลเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนก็ยังตำหนิตน ซึ่งเป็นธรรมดาของคนหล่านี้ที่คิดว่าอะไรไม่ได้ดั่งใจของตัวเองจะโทษว่าคนอื่นเป็นอุปสรรคไปหมด