“ปานเทพ” ย้ำเสนอความเห็นต่อสถาบันพระปกเกล้า คัดค้านนิรโทษกรรม ซัดรายงานปรองดองไม่โปร่งใสเนื่องจากเหมารวมว่าพันธมิตรฯเห็นด้วย พร้อมชี้ “ปรีดา” ตกเป็นเครื่องมือมติชน เชื่อบทสัมภาษณ์มีวาระแฝงเร้น หวังดิสเครดิตพันธมิตรฯ ก่อนนัดประชุม 10 มี.ค. เห็นได้จากคำถาม ล้วนแต่ชี้นำให้หลุดบางคำ เพื่อหยิบไปโปรยให้เกิดภาพลบ
วันที่ 7 มี.ค. เมื่อเวลา 20.30 น. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ ผศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองคณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้ร่วมในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV
นายปานเทพกล่าวถึงรายงานการสร้างความปรองดองของสถาบันพระปกเกล้าว่า เมื่อ 2 เดือนที่แล้วมีคณะจากสถาบันพระปกเกล้ามาขอสัมภาษณ์ในการแสดงความคิดความเห็นของแกนนำพันธมิตรฯ ซึ่งนายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ปฏิเสธไปและให้ตนเป็นผู้ตอบ ส่วน พล.ต.จำลองก็ได้ปฏิเสธไปทันที โดยตอบไปว่าไม่ต้องสอบถาม แค่เคารพกฎหมายและเคารพกระบวนการยุติธรรมก็จบแล้ว ซึ่งนั่นเป็นคำตอบที่ถูกต้อง
ตนยืนยันในคำให้สัมภาษณ์ มีจุดยืนชัดเจนว่าพันธมิตรฯ ไม่เห็นด้วยต่อการนิรโทษกรรม และพร้อมพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรม เว้นแต่บางกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกลั่นแกล้งประชาชนตนชี้แจงโดยหลักการเพียงเท่านี้ และชี้แจงไปว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มีปัญหาตั้งแต่เผด็จการรัฐสภาโดยทุนสามานย์หรือทุนผูกขาดโดยพรรคการเมือง หรือเผด็จการทางทหาร ที่ผลัดกันไปมาตลอด ท้ายที่สุดเราก็ไม่ประสบความสำเร็จในการแสวงหาความปรองดอง และที่ผ่านมาหลายคนมักไม่มองว่าก่อนรัฐประหารเกิดอะไรขึ้น และไม่แก้ที่จุดนั้น
ครั้งหลังสุดตนได้รับเอกสารกลับมา โดยเอกสารระบุว่าทุกคนเห็นด้วยจากการสอบถามทั้งหมด ซึ่งตนพบว่าที่เขาติ๊กตัวเลขมา หลายข้อตนได้คัดค้านไปแล้วในการที่พูดไปผ่านการสัมภาษณ์ แต่ไม่มีการนำความเห็นตนไปติ๊กว่ามีคนไม่เห็นด้วยเลย แสดงให้เห็นว่าสถาบันพระปกเกล้าได้สรุปเนื้อหาโดยความคิดส่วนตัว โดยไม่ได้เอาความเห็นของคนที่เห็นแย้งไปประกอบเพื่อหาทางออกที่ทุกฝ่ายยอมรับได้
แสดงให้เห็นว่า กระบวนการที่เกิดขึ้นมันเป็นการตั้งธงต่อเนื่องมาจากคณะกรรมการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางสร้างความปรองดองแห่งชาติ ซึ่งมี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นประธาน กระบวนการเหล่านี้ไว้วางใจสถาบันพระปกเกล้า อาจเป็นเพราะสามารถกำหนดหลักเกณฑ์ทั่วๆ ไป หรือสามารถกำหนดกระบวนการทำให้รู้ว่าธงสุดท้ายจะออกมาอย่างไร
“ผมเห็นว่ารายงานนี้ไม่โปร่งใส เพราะไม่ได้นำข้อขัดแย้งหรือข้อความเห็นที่แย้งของฝ่ายพันธมิตรฯ นำไปรวมอยู่ในผลของรายงานเลย ว่าถ้าทำไปแล้วจะสร้างความปรองดองได้อย่างไร ในเมื่อมีประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งคัดค้านอยู่ และเรียนให้ทราบว่าที่ผมยังไม่ส่งแบบสอบถามไป เพราะเห็นความไม่สุจริตใจของสถาบันพระปกเกล้า ที่ส่งรายงานครั้งหลังสุดเป็นตารางแล้วสรุปเอาเองว่าอันนี้มีคนเห็นด้วยทั้งหมดแล้ว ไม่เป็นความจริง
ย้ำว่าไม่เห็นด้วยเลย ไม่เป็นไปตามที่สัมภาษณ์ผม และพี่พิภพ (ธงไชย) รายงานนี้เป็นรายงานอีกชิ้นหนึ่งที่ต้องการสร้างความชอบธรรมให้เป็นไปตามเป้าหมายของนักการเมือง โดยทักษิณได้ประโยชน์สูงสุด” นายปานเทพระบุ
นายปานเทพกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมารัฐบาลนี้พยายามดึงพันธมิตรฯ เข้าสู่เกมปรองดองหลายครั้ง มีอัยการบางท่านมาเจรจากับทนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ว่าชั้นอัยการจะยกข้อหาก่อการร้ายให้ทั้งแดงและเหลือง ถือว่าทั้งสองฝ่ายไม่ต้องมีความผิด ซึ่งเราก็ปฏิเสธ จึงไม่แปลกเลย หลังพันธมิตรฯ ประกาศนัดประชุม 10 มี.ค. หลังจากนั้น 1 วัน ตำรวจออกหมายเรียกในข้อหาเพิ่มเติม ซึ่งสำรวจไปพบว่ามาจากอัยการ ต้องการให้ตำรวจสอบเพิ่มเพื่อเพิ่มข้อหา มันมีกระบวนการเพิ่มแรงกดดันให้พันธมิตรฯยอมจำนนกับการปรองดอง
ส่วนกรณีบทสัมภาษณ์ นายปรีดา เตียสุวรรณ์ ทางมติชนออนไลน์ โดยพูดถึงเรื่องจุดเสื่อมถอยของพันธมิตรฯ นายปานเทพกล่าวว่า มติชนโปรยเรื่องการสัมภาษณ์ครั้งนี้ให้ดูเหมือนว่านายปรีดาจะมาต่อว่าพันธมิตรฯ โดยเฉพาะหยิบเอามาก่อนที่เราจะประชุม 10 มี.ค. เพื่อให้เกิดเป้าหมายมองพันธมิตรฯ ในแง่ลบ ตนเชื่อว่านายปรีดาตกเป็นเครื่องมือมติชน โดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ซึ่งมติชนมีเจตนาให้พันธมิตรฯ ดูแย่ แล้วเลือกพูดในหัวข้อจุดด้อยพันธมิตรฯ เป็นความตั้งใจที่มีวาระแฝงเร้น โดยเฉพาะการไปหยิบคนที่เคยเป็นแนวร่วมมา เพื่อให้เห็นว่าคนเป็นแนวร่วมยังเปลี่ยนใจ
ตนพบอะไรบางอย่างที่น่าสนใจว่า การตั้งคำถามต้องการให้นายปรีดาตอบอะไร เช่น จู่ๆ นักข่าวก็สัมภาษณ์ว่า “พันธมิตรฯ มีจุดอ่อนมาก” ซึ่งนายปรีดาตอบว่า “ก็เหมือนธรรมดาทั่วไป เหมือนองค์กรทั่วไป ก็ช้ำไปบ้าง” จะเห็นว่าระวังคำพูดพอควร แต่นักข่าวก็พยายามตั้งคำถามเชิงลบเป็นประจำ
ถามแม้กระทั่ง “สนธิเป็นจุดอ่อนของพันธมิตรฯ อย่างที่ถูกวิจารณ์หรือไม่” นายปรีดาตอบว่า “คุณสนธิมีประวัติในการที่เคยเป็นเพื่อนคุณทักษิณ เคยทำงานกับคุณทักษิณ อันนั้นเป็นข้อเสียเปรียบอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่เกิดขึ้น เวลาทำงานกัน ทุกอย่างตรงไปตรงมา” จะเห็นว่าเป็นคำตอบที่ระวังพอควร
คำถามถัดมาพูดอีกว่า “พันธมิตรฯ จะจัดชุมนุมใหญ่ 10 มีนาคม 2555 บางคนดูถูกว่า 1,000 คนก็เก่งแล้ว” นายปรีดาตอบว่า “ก็ไม่สำคัญ พันธมิตรฯ ทำไปก็ดีแล้ว ก็ยังมีคนศรัทธาในกลุ่มพันธมิตรฯ อยู่ อย่างที่ท่านสมณะโพธิรักษ์ แห่งสันติอโศกได้ว่าไว้ มันไม่สำคัญที่จำนวนคน แล้วความจริงมีอยู่ว่า ช่วงที่ตกต่ำสุดของพันธมิตรฯ มันก็นั่งกันอยู่ไม่กี่คน แต่พลังเหล่านี้เป็นพลังที่ถูกต้อง ในที่สุดจะดึงคนกลับเข้ามา”
มันเป็นการสัมภาษณ์ที่ต้องการให้นายปรีดาหลุดแค่คำบางคำออกมา แล้วก็นำไปโปรยให้พันธมิตรฯ ดูแย่ ซึ่งโดยรวมแล้วนายปรีดาตอบได้ดี แต่ตนเห็นต่างในหนึ่งประเด็น ต่อข้อถามที่ว่า “มองพรรคประชาธิปัตย์อย่างไร” นายปรีดาตอบว่า “อุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์กับเพื่อไทยต่างกันเยอะ มองจากประชาธิปัตย์ดูประหนึ่งว่า จะดูแลผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก แต่พรรคเพื่อไทยดูแลผลประโยชน์ของคุณทักษิณ” ตนไม่เห็นด้วยว่าประชาธิปัตย์จะดูแลผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ในท้ายที่สุดถ้าพูดในประเด็นทุนสามานย์ ภายใต้ระบบนี้ทุกพรรคเหมือนกัน โกหกประชาชนได้ไม่ต่างกัน ทุจริตได้ไม่ต่างกัน ดูแลผลประโยชน์กลุ่มทุนไม่ต่างกัน สภาพอย่างนี้ พอพันธมิตรฯ เห็นว่าระบบเป็นปัญหา พรรคการเมืองไม่ใช่ความหวัง เราจึงมองข้ามพรรคการเมืองไป เพราะถ้ายังยึดติดกับพรรคการเมือง เราไม่มีทางสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้เลย
ด้าน นายพิชาย กล่าวเสริมในกรณีรายงานของสถาบันพระปกเกล้า ว่าสถาบันพระปกเกล้าเลอะเทอะใหญ่ คือถ้าดูข้อเสนอกับการวิเคราะห์สาเหตุไม่สอดคล้องกันเลย โดยวิเคราะห์สาเหตุการขัดแย้งมาจากความเห็นต่างกันในเรื่องของประชาธิปไตย และมีการเหลื่อมล้ำทางสังคม และมองต่อไปว่าปัจจัยที่มีส่วนขยายให้ความขัดแย้งเพิ่มขึ้น เกิดจากการที่สื่อ-นักวิชาการต่างๆ ทำสถานการณ์ให้รุมเร้ามากยิ่งขึ้น
แต่ดูข้อเสนอเป็นคนละเรื่องกับสาเหตุ อันแรกๆ ให้ คอป.เร่งหาความจริงใน 6 เดือน ตนคิดว่าตอนนี้ไม่รู้ยังมีใครไว้วางใจ คอป.อยู่หรือเปล่า เพราะอนุกรรมการเต็มไปด้วยเสื้อแดง อีกทั้งข้อเสนอนิรโทษกรรม ไม่ได้แก้ที่สาเหตุ แล้วรู้ได้อย่างไรว่าจะนำไปสู่การปรองดอง มีหลักการชุดใดยืนยันหรือคิดเอาเอง ส่วนเรื่องการสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ก็มีแต่เสื้อแดงเท่านั้นที่ไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม