ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
ตามที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ประกาศว่าจะจัดให้เชิญประชุม แกนนำ ผู้ประสานงาน หรือตัวแทนของพันธมิตรฯในจังหวัดต่างๆทั่วประเทศไทย ตลอดจนกลุ่มต่างๆได้เข้าร่วมการประชุมที่จะจัดขึ้นในวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2555 ในเวลา 10.00 น.
ในที่สุดเราก็ได้สถานที่ประชุมก็คือ อาคารลุมพินีสถาน สวนลุมพินี หรือที่คนที่เป็นพันธมิตรฯคุ้นเคยในชื่ออาคารเวทีลีลาศซึ่งเป็นอดีตสถานที่ของเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ได้จัดรายการทุกวันศุกร์ร่วมกับ คุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ ตั้งแต่ปลายปี 2548 มาจนถึงต้นปี 2549
เหตุการณ์ผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะเราไม่ได้ไปจัดที่เวทีแห่งนี้มานานมากถึงเกือบ 6 ปีแล้ว และเป็น 6 ปีที่เราได้ทดลองผ่านมาหลายอย่างตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ รัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชาย รัฐบาลอภิสิทธิ์ และกลับมารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยิ่งทำให้แน่ชัดว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ มากกว่าการจะคัดค้านบางประเด็นซึ่งเป็นปลายเหตุแห่งปัญหา
จากรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ของคน 2 คนเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ก็ได้ผ่านช่วงเวลาที่มีวิวัฒนาการกลายเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และมีช่วงเวลาที่มวลชนของพรรคการเมืองแตกออกไปบ้าง และมีช่วงเวลาที่แกนนำบางส่วนก็ลาออกไปบ้าง ในขณะเดียวกันก็มีแนวร่วมเข้ามาใหม่บ้าง ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องปกติตามธรรมชาติของประเด็นการเคลื่อนไหวในแต่ละช่วงเวลา
ที่ผ่านมาหลายกลุ่มในใช้เวทีแห่งนี้จัดประชุม สัมมนา และปราศรัยโจมตีรัฐบาลชุดนี้มาแล้ว แต่กลับไม่เกิดปฏิกิริยาทางการเมืองมากเท่ากับการประกาศของพันธมิตรฯที่ประกาศว่าจะประชุมวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2555
คนทั้งจากพรรคเพื่อไทยและแกนนำคนเสื้อแดงได้ออกมาโจมตีการประชุมดังกล่าวอย่างร้อนแรงอย่างน่าสนใจ (มากกว่าการเคลื่อนมวลชนกลุ่มอื่นๆ) ซึ่งแม้ว่าพันธมิตรฯอาจจะไม่ใช่คนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ แต่ก็แสดงให้เห็นว่าคนในวงการการเมืองต่างตระหนักดีว่าพันธมิตรฯคือตัวแปรที่สำคัญในสมการทางการเมืองที่มองข้ามไม่ได้
และการที่พันธมิตรฯตัดสินใจยืนอยู่บนภูเพื่อรอเวลาเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่าพันธมิตรฯได้ตกผลึกแล้วว่าระบบการเมืองที่เป็นอยู่ในเวลานี้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งยังแสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้อยู่ในประเด็นของปัญหาที่มีการเคลื่อนไหวรายวันเพื่อโค่นล้มรัฐบาลเพียงเพื่อให้อีกขั้วอำนาจหนึ่งสวมอำนาจแทนแล้วกลับมาทำร้ายทำลายชาติบ้านเมืองอีกต่อไป
แต่ในวันนี้ พันธมิตรฯ ต้องการการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งระบบ !!!
ในช่วงเวลาที่ผ่านมาการที่ถอดพันธมิตรฯออกจากตัวแปร ทำให้เราได้เห็นปฏิกิริยาเกิดขึ้นหลายส่วน เมื่อฝ่ายค้านในระบบรัฐสภาจะพ่ายแพ้ตลอดสมัยและอาจพ่ายแพ้ไปอีกยาว ฝ่ายทหารกำลังถูกรุกคืบด้วยคดีความและการโยกย้ายทหาร และกระบวนการยุติธรรมกำลังถูกรื้อระบบครั้งใหญ่ ยิ่งเห็นได้ชัดเจนว่ามีคนกลุ่มอื่นกลายเป็นคู่เผชิญหน้ากับระบอบทักษิณที่กำลังรุกคืบในอำนาจและผลประโยชน์มากขึ้นอย่างชัดเจน
ส่วนมวลชนของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ก็ขาดพลังในการเคลื่อนไหว มีจำนวนที่ไม่มากพอ เวลาที่รวมตัวกันก็ไม่กี่ชั่วโมงจากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ไม่มีมาตรการกดดันเพียงพอ ทำให้รัฐบาลซึ่งมีภูมิต้านทานในการรับมือกับมวลชนสูงขึ้นนั้นไม่สะทกสะท้านแต่ประการใด
ด้วยเหตุผลนี้ดูเหมือนว่ากลุ่มคน 2 ขั้วที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่ในเวลานี้กำลังหันมองขึ้นมาบนภูเพื่อเรียกให้ลงมาช่วยเหลือข้างใดข้างหนึ่ง เพื่อยุติหรือจัดการกับขั้วตรงกันข้ามกับกลุ่มตัวเอง
ฝ่ายพรรคเพื่อไทยก็กวักมือพันธมิตรฯ ให้มาร่วมกันทำงานในคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อความปรองดอง หรือบางครั้ง คอ.นธ.ก็ใส่ชื่อคนที่เป็นพันธมิตรฯเข้าไปในคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญทั้งๆที่เขาก็ปฏิเสธ ตลอดจนมีความพยายามจะออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับคนเสื้อแดงและพันธมิตรฯทั้งหมด หรือแม้กระทั่งมีการเสนอจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทยว่าคณะกรรมาธิการวิสามัญในการล้มล้างรัฐธรรมนูญนั้นควรจะเชิญแกนนำคนเสื้อแดงและแกนนำพันธมิตรฯ ไปเป็นที่ปรึกษากรรมาธิการ ซึ่งวิธีการดังกล่าวก็ล้วนแล้วแต่เป็นแค่แผนการดึงพันธมิตรฯมาประดับเพื่อสร้างความชอบธรรมในการล้างความผิดในอดีต และกระชับอำนาจให้กับตัวเองและพวกพ้องทั้งสิ้น
ด้วยเหตุผลนี้พันธมิตรฯจึงไม่เข้าร่วมในคณะกรรมการชุดใน และคัดค้านการนิรโทษกรรมให้กับทุกฝ่าย และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพในกระบวนการยุติธรรมและหลักนิติรัฐด้วยเช่นกัน
หลังจากที่พันธมิตรฯไม่รับไมตรีจากพรรคเพื่อไทย และพันธมิตรฯยังประกาศเดินหน้าจัดการประชุมวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555 ผลคืออัยการและตำรวจเพิ่มข้อหาคดีความและออกหมายจับแกนนำและผู้ปราศรัยเพิ่มเติม โดยให้มารายงานตัวในวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2555 และหากยังไม่มาก็ให้ออกหมายเรียกอีกครั้งในวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555 ซึ่งบังเอิญว่าเป็นวันก่อนการประชุมเพียง 1 วัน ทั้งหมดก็คงมีสติปัญหาคิดได้เพียงว่าจะเอากฎหมายมากลั่นแกล้งแกนนำเพื่อให้ยอมสยบต่อการนิรโทษกรรม หรือหยุดการเคลื่อนไหว ซึ่งความจริงแล้วไม่มีทางเป็นไปได้เลย
ในขณะที่มวลชนที่เป็นแนวร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ ก็พยายามที่จะเชิญแกนนำหรือผู้ปราศรัยพันธมิตรฯ เข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มตัวเอง โดยมีเป้าหมายจะโค่นล้มรัฐบาลชุดนี้เป็นหลัก มากกว่าจะหาคำตอบว่าถ้าโค่นรัฐบาลชุดนี้แล้ว คนที่จะเข้ามาบริหารประเทศชาติจะทำอะไรต่อหลังจากนั้น จะปฏิรูปหรือไม่อย่างไร?
เมื่อไม่มีความชัดเจน พันธมิตรฯ ก็ไม่สมควรเข้าร่วมอีกเช่นกัน
หรือในสายตาทหารที่มองการชุมนุมคือความวุ่นวาย เพื่อที่จะได้ตั้งเชื้อเอาไว้ในการรัฐประหารโดยอ้างเหตุว่าคน 2 ฝ่ายทะเลาะกัน หลังจากนั้นก็กวาดล้างทุกฝ่ายโดยเข้ามาโกงกิน รักษาอำนาจ โดยไม่ปฏิรูปประเทศ หรือแม้แต่สืบทอดอำนาจต่อไป พันธมิตรฯก็คงไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้อีกเช่นกัน
ในสายตาของพันธมิตรฯ กลุ่มคนที่เคลื่อนไหวที่ผ่านมาที่จะสามารถเป็นแนวร่วมและเกื้อกูลกันในเชิงเป้าหมายที่สุดในเวลานี้ก็คือ กลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” ที่เสนอทางออกของประเทศในเรื่องการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่อย่างเป็นรูปธรรม ในการขจัดระบอบเผด็จการรัฐสภาโดยทุนสามานย์ซึ่งเป็นเจ้าของพรรคการเมือง
และถ้าจะป้องกันไม่ให้เกิดการ “ตีกิน” เพื่อไปแสวงหาผลประโยชน์และทำร้ายประเทศชาติต่อจากพรรคเพื่อไทย ทุกฝ่ายที่อยากให้พันธมิตรฯเคลื่อนไหวหรือไม่เคลื่อนไหว จำต้องประกาศร่วมเคลื่อนไหวไปด้วยกัน เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงปฏิรูปครั้งใหญ่จริงๆ เท่านั้น
แม้วันที่ 10 มีนาคม 2555 จะเป็นเพียงแค่การ “ประชุม” กันในระหว่าง แกนนำ ผู้ประสานงาน และผู้แทนแต่ละจังหวัด รวมถึงตัวแทนกลุ่มต่างๆที่อาจไม่ได้รวมตัวกันในรูปจังหวัด แต่ก็ไม่ได้ปิดกั้นให้พันธมิตรฯผู้สนใจได้เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวได้ เช่นกัน
หากการประชุมในวันดังกล่าวมีคนเข้าร่วมมากเกินคาด นั่นหมายถึงพลังอำนาจต่อรองที่ทุกฝ่ายหวังพึ่งพิงพันธมิตรฯให้เคลื่อนไหว หรือไม่ให้เคลื่อนไหว ย่อมมีน้ำหนักมากขึ้น และนั่นหมายถึงการเรียกร้องการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ต่อทุกฝ่ายก็จะมีพลังเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน
วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม 2555 เวลา 10.00 น. ณ ลุมพีนีสถาน (เวทีลีลาศ) สวนลุมพินี เราน่าจะได้คำตอบแล้วว่า พันธมิตรฯจะเคลื่อนต่อไปอย่างไร?