ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
บางทีคนอย่างทักษิณ ที่ดูเหมือนว่าฉลาดพอเอาเข้าจริงจะเป็นเพราะอะไรก็ไม่ทราบได้ที่เหมือนมีอะไรบังตาจนไม่สามารถจะก้าวข้ามผ่านปัญหาต่างๆได้
ทบทวนกันอีกครั้ง เมื่อปี 2549 ทักษิณ ก้าวข้ามไม่ผ่านอะไรบ้าง?
ประเด็นแรก การใช้เล่ห์แพรวพราวด้วยการฟังที่ปรึกษาหัวใสที่ใช้เทคนิคซุกหุ้น เพื่อเลี่ยงภาษีอย่างสับสนอลหม่าน ใครจะเชื่อว่าเพียงเพราะไม่ยอมเสียภาษีในการขายหุ้นชินคอร์ปได้ทำให้เกิดมวลชนอย่างมหาศาลในปรากฏการณ์สนธิ ลิ้มทองกุล ทั้งๆที่กำลังจะฝ่อไปแล้วก่อนหน้านี้ ก็กลายมาเป็นประเด็นที่จุดติดครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ถ้าลองย้อนเวลากลับไปได้ถ้าคนอย่างทักษิณ ชินวัตรทำอย่างตรงไปตรงมา จ่ายภาษีถูกต้องในการขายหุ้นชินคอร์ป ป่านนี้การชุมนุมของปรากฏการณ์สนธิ อาจจะยังจุดไม่ติด และอาจจะยังไม่มี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และชาวสันติอโศก เข้าร่วมด้วย และก็คงไม่มีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วยซ้ำไป นั่นหมายถึงสถานการณ์อาจไม่สุกงอมที่จะมีการรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 ได้ด้วยซ้ำไป
ประเด็นที่สอง ฝ่ายค้านประกอบไปด้วย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชน ได้แถลงข่าวให้ทักษิณมาลงนามในสัญญาประชาคมว่าจะเปิดทางให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ ใครจะเชื่อได้ว่าวินาทีนั้นหากทักษิณไปลงนามก็คงมีการเลือกตั้งกันใหม่ และพรรคไทยรักไทยก็คงจะชนะเหมือนเดิม แม้จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ยังอยู่ในเงื้อมมือของทักษิณที่ยังมีอยู่มากก็คงจะสามารถมีอำนาจต่อไป แต่ทักษิณเพียงแค่ต้องการชิงเหลี่ยมเอาชนะทางศักดิ์ศรีเล่นแง่ว่าจะทำปฏิญญาในหมู่พรรคการเมืองที่ไม่ได้มี ส.ส. แทน ซึ่งผลลัพธ์ก็คือการที่พรรคการเมืองฝ่ายค้านปฏิเสธการลงสมัครรับเลือกตั้ง และปัญหายิ่งยุ่งเหยิงเมื่อพรรคไทยรักไทยต้องแก้ไขปัญหาเหล่านั้นด้วยการจ้างนักการเมืองจากพรรคการเมืองขนาดเล็กมาช่วยสมัครเลือกตั้งแข่งแบบหลอกๆแทน ซึ่งเป็นชนวนเหตุทำให้เกิดการยุบพรรคไทยรักไทยในเวลาต่อมา
เช่นเดียวกันถ้าย้อนเวลากลับไปได้หากทักษิณตัดสินใจไปลงนามและเดินหน้าเปิดให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 2549 ก็คงมีการเลือกตั้งที่พรรคไทยรักไทยชนะอีก และรัฐธรรมนูญฉบับใหม่พรรคไทยรักไทยก็จะยังสามารถควบคุมและครอบงำได้อีก หากทำเช่นนั้นผู้ชุมนุมอย่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอาจจะไม่สามารถชุมนุมในบรรยากาศที่จะมีการเลือกตั้งได้ และการรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น
2 เหตุการณ์ในปี 2549 ที่ขายหุ้นชินคอร์ปโดยหลีกเลี่ยงภาษี กับ การไม่ลงนามเพื่อทำสัญญาประชาคมที่จะเปิดทางให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือการตัดสินใจที่ผิดพลาดแค่เสี้ยววินาทีเดียว ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเสียทรัพย์สินอันมหาศาล เสียเกียรติยศชื่อเสียงของตัวเองและครอบครัว และต้องไม่มีแผ่นดินจะอยู่ แล้วยังต้องสูญเสียชีวิตผู้คนไปอีกมากมาย
หลายปีมานี้ทักษิณ ชินวัตร แสวงหาสิ่งที่ตัวเองอยากได้ ที่สุดก็คือ กลับมาประเทศไทยโดยไม่ต้องรับผิดไม่ต้องติดคุก ทวงทรัพย์สินคืน ได้อำนาจทางการเมืองกลับคืนมา และกระชับอำนาจทางการเมืองให้กับตัวเองและพวกพ้องมากที่สุด จึงมีเหล่าสาวกที่จับจุดความอยากของทักษิณไปขายฝันให้ทักษิณว่าจะสร้างอภินิหารได้ เพื่อให้ได้สาวกเหล่านั้นได้มาซึ่งทรัพย์สินเงินทอง และอำนาจทางการเมือง ซึ่งคนอย่างทักษิณก็ชอบที่จะเชื่อคนเหล่านั้น และคนเหล่านั้นก็ค้าขายสนองความอยากของทักษิณหลอกไปเรื่อยๆ
จนแม้ผ่านไปจะครบ 4 ปีแล้วทักษิณ ก็ยังไม่เคยกลับมาประเทศไทยได้เลย เพราะความเป็นจริงสิ่งที่ทักษิณอยากได้มากที่สุดนั้น กลับเป็นไปได้น้อยที่สุด!!!
คนรอบข้างทักษิณหลายคนในเวลานี้จึงได้รับประโยชน์อย่างมหาศาลที่ทักษิณยังไม่ได้กลับประเทศไทยแล้วยังมีความอยากได้ในสิ่งที่เป็นไปได้น้อยที่สุด หลายคนจากคนไร้ราคาก็กลายเป็นมหาเศรษฐีและเสนาบดี และบางคนก็กลายเป็นคนที่มีอำนาจเหมือนเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเองภายใต้เงื่อนไขแบบนี้
จึงมีคนบางประเภทหลายคนที่แสดงออกเหมือนจะช่วยทักษิณเพื่อสนองความอยากได้ของทักษิณ แต่แท้ที่จริงกลับสร้างเงื่อนไขและสิ่งแวดล้อมให้ยิ่งเป็นไปไม่ได้มากขึ้น เพื่อทำให้ทักษิณกลับบ้านไม่ได้ต่อไป
แค่ลองคิดเอาง่ายๆดูว่าหากสามารถนิรโทษกรรมให้กับทักษิณได้ ก็ต้องรวมไปถึงการนิรโทษกรรมให้กับนักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิ์การเลือกตั้งด้วย เพียงเรื่องแค่นี้ถ้าลองคิดดูโดยสามัญสำนึกก็คงจะพอมองเห็นแล้วว่านักการเมืองที่เป็นรัฐมนตรีอยู่ในขณะนี้หลายคนคงก็ต้องพ้นจากตำแหน่งไป แม้แต่ ส.ส.หลายคนก็คงต้องตกเก้าอี้ไปในการเลือกตั้งครั้งหน้า จริงหรือไม่?
วันนี้อาจจะมีคนมาขายฝัน ว่าจะสร้างอภินิหารเพื่อทำให้ทักษิณกลับมาประเทศไทยโดยการล้มล้างรัฐธรรมนูญ หรือ ออกกฎหมายปรองดอง คำถามก็คือบทเรียนความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมาถึง 6 ปีนี้ ยังไม่ให้บทเรียนแก่ทักษิณ ชินวัตร อีกหรือ?
เพราะสมมุติต่อให้ทักษิณพยายามที่จะต่อสายหาอภินิหาร หรือปาฏิหาริย์จากอำมาตย์คนใด หรือใครก็ตาม ทันทีที่เริ่มมีขบวนการตอบสนองความอยากของทักษิณเมื่อไหร่ ก็จะมีประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้านอยู่ดี ต่อให้จะมีเสียงประชาชน 15.7 ล้านคน และมีมวลชนเสื้อแดง แต่ก็จะไม่มีประโยชน์ในการเอามวลชนของตัวเองมาค้ำยันมวลชนฝ่ายต่อต้านได้เลย เพราะนอกจากจะมีโอกาสนองเลือดแล้ว สุดท้ายรังแต่จะเป็นความเสี่ยงที่ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการรัฐประหารอีกว่าเพราะประชาชน 2 ฝ่ายทะเลาะกันอีกอยู่ดี
คำถามก็คือแน่ใจหรือว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พร้อมจะเสี่ยงรับสภาพถูกรัฐประหาร หรือพร้อมจะเสี่ยงให้ประชาชนลุกขึ้นต่อต้านปะทะกัน หรือพร้อมจะเสี่ยงยอมให้ประชาชนนองเลือด ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงสูงสุดไปอีกคนคือ ไม่มีแผ่นดินจะอยู่?
และต่อให้สมมุติว่า ทักษิณให้เหล่าสาวกข่มขืนใช้อำนาจชนะในสภาหรือการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จ หรือสามารถออกกฎหมายนิรโทษกรรมได้ แน่ใจหรือว่าจะสามารถกลับมาประเทศโดยดำรงชีวิตอยู่เป็นปกติสุขได้ ในวันที่มีประชาชนเกลียดชังกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ และแน่ใจหรือว่าจะสามารถรักษาชีวิตอยู่ได้ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้ ?
ในทุกวันนี้ใครบินไปหาทักษิณ ชินวัตร ถ้าไม่ไปขอเงิน ขอโครงการ ขอตำแหน่ง บางครั้งก็ยังมีล็อบบี้ยิสต์(ตัวปลอม)ขายฝันว่าจะสามารถสร้างอภินิหารได้ โดยที่ทักษิณยังคงต้องหลบลี้หนีคุกมา 4 ปีแล้ว ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ทั้งๆ ที่ความจริงอภินิหารนั้นไม่ได้อยู่ที่ใครหรือที่ไหนเลย นอกจากทักษิณจะเริ่มรู้จักคำว่า “เสียสละ”
“การเสียสละ” ที่ว่านี้คือยอมรับโทษ ซึ่งไม่ว่าจะรับโทษมากหรือน้อย และนานเท่าไหร่ ต้องยอมเสียสละไม่รวบอำนาจ ไม่รวบกินทรัพยากรธรรมชาติ และไม่รวบกินทรัพย์สินเงินทองของชาติ รู้จักแบ่งปันให้ประชาชนและประเทศชาติ การเสียสละจะทำให้ทักษิณกลับมาประเทศไทยได้อย่างปลอดภัย ประเทศก็จะสงบ และทักษิณก็จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ในประเทศไทย และก็ยังมีโอกาสที่จะกลับมามีอำนาจทางการเมืองในอนาคตอีกด้วย ด้วยทรัพย์สินเงินทองที่ท่วมท้นจนไม่สามารถใช้เงินทองได้หมดไปอีกหลายชั่วอายุคนอยู่แล้ว
เพียงแต่สิ่งที่ทักษิณเหมือนมีอะไรมาบังตาคือกำลังแสวงหาหนทางที่ตัวเองอยากได้มากที่สุดแต่ในโลกความเป็นจริงกลับเป็นไปได้น้อยที่สุด ในขณะที่การเสียสละนั้นเป็นสิ่งที่ทักษิณอยากได้ในวันนี้น้อยที่สุดแต่ความจริงกลับเป็นไปได้มากที่สุด
เหตุที่ทักษิณที่คิดไม่ได้ ก็คงเพราะยังชดใช้กรรมยังไม่หมดจริงๆ!!!