บ้านพระอาทิตย์
ต้องยอมรับว่าหัวหมุนกับเครือข่ายลิ่วล้อ ทักษิณ ชินวัตร ที่เปิดเกมกันเข้ามาหลายรูปแบบ พลิกแพลงลื่นไหลไปตามสถานการณ์ได้ตลอดเวลา อย่างเวลานี้ หลังจากที่กลุ่ม นิติราษฎร์ ที่เป็นเครือข่ายทางวิชาการรับใช้กันมานาน ถูกรุมสกรัมจากสังคมหลังจากออกหน้าเปลืองตัวเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพื่อเปิดทางให้ลดสถานะของพระมหากษัตริย์ ก็ใช้จังหวะดังกล่าวอาศัยช่วงชุลมุนที่ชาวบ้านกำลังหันไปมองอีกทางเตรียมรวบรัดเสนอร่างพระราชบัญญัติที่ใช้ชื่อเสียโก้เก๋ว่า “ปรองดองแห่งชาติ” เข้าสภาหวังใช้เสียงข้างโหวตรับรองบังคับใช้ทันที
จากการแย้มๆออกมาจากปากของคนที่อาสา “รับงาน” มาทำอย่าง รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง บอกว่า ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีเนื้อหาสั้นๆเพียงแค่ 6 มาตราความยาวไม่เกิน 2 หน้ากระดาษเท่านั้น โดยเตรียมหาจังหวะเหมาะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในเร็วๆนี้
สำหรับสาระสำคัญที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงต้องการนำเสนอก็คือมีเพียงแค่ว่าถ้าใครก็ทำที่กระทำความผิด(ในความหมายทางการเมือง)ก่อนวันที่ 18 กันยายน 2549 ก็จะได้รับการนิรโทษกรรม หรือไม่ต้องรับโทษ หรืออาจหมายรวมถึงไม่เคยทำผิดมาก่อนก็ได้ นั่นแหละ ขณะเดียวกันถ้าพิจารณาจากคำพูดจากปากของเขา ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่าจะเข้าอีหรอบเดียวกับกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติจ่ายเงินเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา โดยอ้างความปรองดองช่วยเหลือทุกสีทุกกลุ่ม แต่คราวนั้นเป้าหมายก็คือต้องการช่วยเหลือพวกเดียวกันคือ “คนเสื้อแดง”ที่อุตส่าห์เสี่ยงชีวิตเสี่ยงตายมาให้ตัวเองได้อำนาจ
คราวนี้เหตุผลก็ไม่ต่างกันคือต้องการลบล้างความผิดให้กับทุกฝ่าย อาจจะพิเศษตรงที่เน้นช่วยเหลือระดับ “หัวโจก” ขึ้นมา และเป้าหมายสำคัญที่ “ซ่อนเร้น” อย่างเงียบเชียบและเป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดก็คือให้ครอบคลุมไปที่ ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็น “เจ้านายใหญ่” นั่นแหละ ซึ่งวิธีการแบบนี้ก็ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่ใช้เสียงข้างมากในสภา ซึ่งเวลานี้รัฐบาลก็มีเสียงข้างมากท่วมท้นอยู่แล้ว และที่สำคัญใช้เวลารวดเร็ว ซึ่งผิดกับการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ต้องใช้เวลา มีขั้นตอนยุ่งยาก ไม่ทันใจ เพราะไหนจะต้องมีเสียงวิจารณ์จากพวกปากหอยปากปูที่รู้ทัน ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ แต่ที่แน่ๆต้อง “ช้ำ” แน่นอน สู้ใช้วิธีดังกล่าวแบบที่ ร.ต.อ.เฉลิม กำลังทำงานอยู่แบบนี้ดีกว่า
แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว นี่อาจเป็นขั้นตอนแรกในเรื่องของการลบล้างความผิด เพื่อให้ ทักษิณ ชินวัตร ลอยตัวขึ้นมาเหนือน้ำเสียก่อน ให้สามารถ “เดินลอยชาย” เข้าประเทศอย่างสง่าผ่าเผย ส่วนเรื่องเส้นทางการเมืองหลังจากนี้ อาจต้องรอไปก่อนสักระยะ เพราะยังติดขัดเรื่องการขาดคุณสมบัติในเรื่อง “เคยถูกพิพากษาจำคุก” และเคย “ถูกยึดทรัพย์” เป็นอุปสรรคอยู่เล็กน้อยซึ่งต้องมีกฎหมายล้างมลทินออกมาตามหลังเสียก่อน แต่มันก็คงไม่ยากเย็นนักไม่ใช่หรือ
หากพิจารณาจากอารมณ์และความรู้สึกของ ทักษิณ เราก็เชื่อว่าเขาต้องการให้เดินทางนี้มากกว่า เพราะมันลัดขั้นตอนและรวบรัดรวดเร็ว และมีโอกาสสำเร็จได้มากกว่าวิธีการเสนอขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ “สอดไส้” เรื่องการลบล้างความผิด เนื่องจากต้องใช้เวลานาน ตามกระบวนการต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 5-6 เดือน นั่นคือยิ่งนานยิ่งเสี่ยง รวมไปถึงมีความเป็นไปได้ ที่จะกลายเป็น “เรื่องอื่น” ได้ตลอดเวลา
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากผลงานและความเชื่อมั่นที่สังคมมีต่อ “น้องสาว” ของตัวเองอย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ได้รับฉายาว่า “นายกฯนกแก้ว” มันก็ยิ่งน่าหนักใจทุกวัน เพราะดูเหมือนว่าถ้าได้ขึ้น “เวที” หรือว่าเข้าสภาเมื่อใด เป็นได้ “เปลือยตัวตน” ออกมาให้เห็นว่าไร้ความสามารถ ไม่มีภูมิความรู้อะไรติดตัวแม้แต่น้อย ขนาดเรื่องท่องจำ หรือมาตรฐานการ “อ่าน” ถือว่าต่ำชั้นกว่า “เด็กประถม” เสียอีก มันก็น่าเวียนหัวเหมือนกัน
เพราะถ้าในสถานการณ์ปกติยังพอลากถูลู่ถูกังกันไปได้อีกระยะหนึ่ง แต่อย่างที่รับรู้กันว่าหลังจากเหตุการณ์วิกฤติน้ำท่วมเป็นต้นมา ทำให้ชาวบ้านนอนหวาดผวาอยู่ทุกคืน เศรษฐกิจเข้าสู่ยุคเข้ายากหมากแพง ประกอบกับเศรษฐกิจภายนอกก็ไม่เป็นใจ ทั้งยุโรปและอเมริกาหรือแม้แต่ยักษ์ใหญ่ในเอเชียทั้ง จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ก็ยังไม่เป็นใจ และยังมีแนวโน้มเรื่องน้ำมันที่พุ่งกระฉูด ตอนนี้ดีเซลไปถึงลิตรละ 31 บาท มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ที่ราคาข้าวราดผัดกระเพราไก่ในราคาควบคุมของรัฐบาลให้ขายจานละ 25 บาท สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็เริ่มมีเสียงก่นด่า เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัว
เมื่อหลายเรื่องมาผสมโรงกัน แบบสะสมความไม่พอใจ ยิ่งเมื่อเข้าเดือนมีนา เมษายน บรรยากาศมันก็ร้อนระอุเพิ่มอารมณ์เสียมากขึ้นไปอีก ดังนั้น ถ้าพิจารณากันแบบ “รู้ทัน”คนอย่าง ทักษิณ มันก็ต้องเร่งรัดปิดเกมให้เร็วที่สุด และถ้ามองอีกมุมหนึ่งในช่วงเวลาที่สังคมกำลังหันเหไปก่นด่าพวก “นิติราษฎร์” เรื่องเหิมเกริมคิดแก้ไขกฎหมายเพื่อจาบจ้างพระมหากษัตริย์ อาศัย “ช่วงชุลมุน”เสนอร่างพระราชบัญญัติปรองดอง(นิรโทษ)โดยสอดไส้พ่วงการลบล้างความผิดให้ ทักษิณ ในคราวเดียวกัน ซึ่งกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กำลังอาสารับงานอยู่ในเวลานี้นั่นแหละตรงใจที่สุด เตรียมรับมือไว้ให้ดีก็แล้วกัน !!