นิทานหลอกเด็กล้มรัฐบาล ปัดสวะความห่วยแตกตัวเอง

ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-คงต้องยกให้เป็นมุขเด็ดในการบริหารประเทศของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปเสียแล้ว สำหรับการปูดข่าว “ขบวนการจ้องล้มรัฐบาล” เพราะล่าสุดทีมงาน พรรคเพื่อไทย ก็ได้ดาหน้าออกมาให้ข่าวกันเป็นพัลวัน ถึงขบวนการจ้องล้มรัฐบาล พรรคเพื่อไทย ชนิดที่ว่า ผู้กำกับหนัง อาจจะต้องลงทุนมาศึกษาเผื่อที่ว่าจะสามารถนำไปสร้างหนังเรื่องใหม่ได้เลยทีเดียว

และแล้วตัวละครหน้าเดิมๆ มิใช่ใครอื่น นำโดยนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ก็ออกได้ออกมาวาดฉากเสียอย่างดิบดีว่า มีขบวนการลงขันทุ่มเงิน 3,000 ล้านบาท โดยมีการจ่ายค่าจ้างผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวเป็นรายวัน วันละ 500 บาทต่อคน มีการลงขันจากนักการเมืองกลุ่มหนึ่งเป็นเงินประมาณ3,000-4,000 ล้านบาท ให้ออกมาเคลื่อนไหวโยงใยกลุ่มนิติราษฎร์เป็นพวกเดียวกับพรรคเพื่อไทย โดยมุ่งจ้องล้มล้างรัฐบาล

ขณะที่ นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีนายทุน นักวิชาการ ทหารและสื่อมวลชนรวม 4 กลุ่ม จับมือกันเตรียมการเคลื่อนไหวเพื่อจ้องล้มรัฐบาล โดยมีการวางแผนแบบเป็นระบบ

สุดท้ายนิยายน้ำเน่าการเมืองเรื่องนี้ คงจะไม่สมบูรณ์แบบ ถ้าขาดตัวละครเอก อย่าง นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง ไปเสียคน ซึ่งก็ไม่ลืมคิวที่จะเกาะขบวนในประเด็นนี้เช่นกัน เดอะตู่ กล่าวว่า ทราบมาว่ามีการตั้งวอร์รูมเพื่อจะจัดการรัฐบาลให้ได้ก่อนเดือนเม.ย.โดยใช้เรื่องมาตรา 112 มาเป็นช่องว่างในการล้มรัฐบาล

ทั้งนี้ หากดูสถานการณ์ของรัฐบาลปูแดงในขณะนี้ ก็จะเห็นได้ว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องตั้งวอร์รูมเพื่อล้มหรือลงขันเสียเงินซักแดงเดียว เนื่องเพราะการบริหารประเทศอันห่วยแตกต่างหากที่จะทำให้รัฐบาลชุดนี้ล้มเองโดยไม่ต้องเปลืองแรง

ไหนจะเรื่องอาหารการกินที่ขณะนี้ถีบตัวสูงขึ้นทุกวัน ขณะที่วิธีการแก้ปัญหาของรัฐบาลผู้ไร้เดียงสา คือสั่งให้กรมพาณิชย์ โดยให้กรมการค้าภายใน สั่งควบคุมราคาอาหาร โดยเบื้องต้นจะกำหนดราคาแนะนำประมาณ 10 เมนู เช่น ข้าวกระเพราะหมู ข้าวกระเพราไก่ ข้าวราดไข่พะโล้ ในราคาไม่เกินจานละ 25 บาท ส่วนข้าวราดไข่เจียวกำหนดจำหน่ายไม่เกินจานละ 15 บาท

นอกจากนี้ ด้วยผลงานที่ห่วยบรมขั้นเทพของ น.ส.ยิ่งลักษณะและคณะลิ่วล้อนายใหญ่ ที่ว่ากันว่าบรรดาคนเสื้อแดงดีใจกันนักหนา เมื่อได้เห็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก มาถึงวันนี้เมื่อเวลาและผลงาน เป็นเครื่องพิสูจน์ ก็ดูเหมือนว่าจะทำเอาสาวกเสื้อแดงรักไม่ลง ยิ้มไม่ออกกันเสียแล้ว หลักฐานที่ว่าคือ ผลสำรวจของ “อีสานโพล” ที่สำรวจความคิดเห็นของคนอีสานในพื้นที่ 20 จังหวัด ต่อการทำงานของรัฐบาลใน 6 ด้าน ปรากฏว่า ด้านภาพรวมการทำงานของรัฐบาลประเมินให้ผ่าน ร้อยละ 74.7 ไม่ผ่าน ร้อยละ 25.3 ด้านการเมืองและประชาธิปไตย ประเมินให้ผ่านร้อยละ 68.3 ไม่ผ่าน ร้อยละ 31.7 ด้านเศรษฐกิจและความอยู่ดีกินดี ประเมินให้ผ่านร้อยละ 56.8 ไม่ผ่าน ร้อยละ 43.2 ด้านสังคม อาชญากรรม และยาเสพติด ประเมินให้ผ่านร้อยละ 61.2 ไม่ผ่าน ร้อยละ 38.8 ด้านสิ่งแวดล้อม มลภาวะ และภัยธรรมชาติ ประเมินให้ผ่านร้อยละ 53.9 ไม่ผ่าน ร้อยละ 46.1 ด้านการต่างประเทศ ประเมินให้ผ่านร้อยละ 81.2 ไม่ผ่าน ร้อยละ 18.8 เรียกว่าสอบตกแทบจะทุกเรื่องทีเดียว แน่นอนปัญหาที่ประชาชนอีสานอยากได้รับการแก้ไขไม่พ้นปัญหาข้าวของแพงมากที่สุด

นอกจากนั้น เมื่อประมวลดูจากหลายเหตุการณ์แล้ว ที่ผ่านมาได้ก็คงจะเห็นกระแสอารมณ์ของคนหลายภาคส่วน สะสมความไม่พอใจมาอย่างต่อเนื่องได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อกวาดสายตามองผลงานอันเป็นรูปธรรมก็เห็นจะไม่พ้น การตั้งคณะรัฐมนตรี ที่เหมาเข่งต่างตอบแทนคนตระกูลชินวัตร ไม่เว้นแต่ตั้งพวกหัวโจกคนเสื้อแดงที่เป็นผู้ก่อการร้าย เผาเมืองให้ได้รับตำแหน่งทางการเมืองเป็นลักษณะตบรางวัล รวมไปถึงการใช้เงินหลวงมาซื้อใจ เช่น การเยียวยารายละ 7.75 ล้านบาท หรือจะเป็นการขยันขันแข็ง เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีเป้าหมายเพื่อลบล้างความผิดให้กับ ทักษิณ ชินวัตร และอย่าได้แปลกใจเลย หากจะถูกมองว่าเป็นเนื้อเดียวกันกับกลุ่มนิติราษฎร์ที่ต้องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์

ดังนั้นแล้ว เมื่อจนมุมในความห่วยแตกของตัวเอง จึงได้ขยันสร้างพล๊อตรัฐประหารล้มรัฐบาลออกมาใช้ เป้าหมายก็เพื่อกลบเกลื่อนความผิดพลาดและล้มเหลวของตัวเองเท่านั้น