บ้านพระอาทิตย์
หลังจากฝ่ายเสียงข้างมาก คือ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และพรรคชาติไทยพัฒนา รวมไปถึงฝ่ายค้านบางพรรคอย่าง ภูมิใจไทยบางกลุ่มได้โหวตให้แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เพื่อนำไปสู่การมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เพื่อฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันแล้วร่างขึ้นมาใหม่ และก่อนไปถึงตอนนั้น ก็ต้องมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญจากสองสภาขึ้นมาเพื่อพิจารณาแปรญัตติ ซึ่งที่ผ่านมาฝ่ายเสียงข้างมากก็ได้เชิด สามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย อดีตรองประธานสภาผู้แทนจากพรรคเพื่อไทยขึ้นมาเป็นประธานคณะกรรมาธิการดังกล่าว และเริ่มมีการประชุมนัดแรกกันไปแล้ว
ดังนั้น ถ้าพิจารณาจากความเคลื่อนไหวดังกล่าวก็ถือว่ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือถ้าจะเรียกให้ถูกต้องก็คือการรัฐประหารฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญด้วยเสียงข้างมากของกลุ่ม “ธุรกิจการเมือง” ที่บงการโดยทุนสามานย์กำลังเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว
จากอาการของคนพวกนี้ที่ดำเนินมาตั้งแต่ต้นก็คือ ต้อง “เก็บงำ” เอาไว้ให้เงียบเชียบมากที่สุด หรือถ้าฝ่ายตรงข้ามจับได้ก็ไม่ทำให้เป็น “เงื่อนไข” ออกมาต่อต้านได้ ซึ่งแนวทางที่คนพวกนี้ท่องกันจนขึ้นใจก็คือ ทุกอย่างขึ้นกับ ส.ส.ร.เป็นผู้พิจารณา รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยหรือใครก็ไปแทรกแซงไม่ได้ หรือว่าตอนนี้ยังไม่รู้ว่า ส.ส.ร.หน้าตาแต่ละคนเป็นอย่างไร มันยังไกลเกินไปที่จะพูดว่ารัฐธรรมนูญจะหน้าตาเป็นอย่างไร ต้องให้เกียรติประชาชน ประมาณนี้แหละ และเชื่อว่าจะมีรายการพูดซ้ำๆแบบนี้อีกนาน
ความหมายก็คือจะเก็บไต๋เอาไว้ให้นานที่สุด ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่พอถึงจุดสุดท้าย เปิดผางออกมาถึงตอนนั้นเชื่อว่าไม่มีทำอะไรได้ทัน จะขัดขวางก็ไม่ทันการณ์แล้ว แต่บังเอิญว่าเหมือน “ฟ้ามีตา” เพราะการออกมาโพล่งของ วัฒนา เมืองสุข ว่าจะต้องยุบทิ้งศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมไปถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และองค์กรอิสระอื่นๆ ที่เคยตรวจสอบฝ่ายบริหาร มันก็เรียกเสียงฮือฮา ทำให้หลายคนตาลุกโพลง ตื่นตัวขึ้นมาทันที
ก็จะไม่ให้เกิดอาการแบบนั้นได้อย่างไร เพราะคนที่พูดนี่มันธรรมดาเสียที่ไหนละ ที่ผ่านมา วัฒนาคนนี้แหละที่เดินสายหยั่งกระแส วิ่งเข้าออกที่นั่นที่นี่เพื่อรับฟังความเห็นและหยั่งท่าทีทุกฝ่ายว่ามีความเห็นต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร ซึ่งแสดงออกให้ภายนอกรับรู้กันว่าเขานี่แหละเป็นตัวแทน “ผู้ประสานงาน” เฉพาะกิจ สำหรับภารกิจสำคัญจริงๆ และคนที่สั่งการให้ออกมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้ว่าเป็น ทักษิณ ชินวัตร ดังนั้นเมื่อ วัฒนาพูด มันก็ต้องมีความหมายว่า ทักษิณ เป็นคนพูด หรือมีความต้องการแบบนั้น
เพียงแต่ว่าการออกมาพูดของวัฒนาดังกล่าวเป็นการจงใจพูด เพราะมั่นใจในคะแนนเสียงในสภา และการสนับสนุนจากมวลชนคนเสื้อแดงที่มีการจัดตั้งและบำรุงบำเรอกันถึงขนาดมาก่อนหน้านี้แล้วก็ได้ หรือว่า เป็นการหลุดปากโพล่งออกมาจากความย่ามใจดังกล่าวหรือเปล่า แต่มันก็ทำให้สังคมหันมามองเป็นตาเดียว
การเข้าไปแตะต้องจ้องรื้อศาลและองค์กรอิสระนี่แหละที่ทำให้กระแสการแก้ไขรัฐธรรมนูญเริ่มตีกลับทันที จากเดิมที่ไม่ค่อยแน่ใจ ไม่ค่อยสนใจเนื่องจากเห็นว่าเป็นเรื่องไกลตัว เป็นเรื่องของนักการเมืองแบบธุระไม่ใช่ แต่เมื่อได้ยินคำพูดว่าจะยุบศาลที่เคยทำหน้าที่ถ่วงดุลตรวจสอบนักการเมืองขี้ฉ้อพวกนี้ได้อย่างเข้มงวดมันก็ต้องมีปฏิกิริยาต่อต้านขึ้นมาทันที และอย่าได้แปลกใจที่ไม่นานหลังจากนั้นก็มีเสียงปฏิเสธขึ้นมาทันควันจากปากของ รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ทำหน้านี้ผลักดันร่างแก้ไขมาตรา 291 ออกมา “เบรกเกม” ทันควันทำนองว่าพูดไม่ได้เพราะต้องรอ ส.ส.ร.ก่อน และ นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ไปอีกทางแบบไม่ต้องใช้สมองคิดว่าแล้วแต่สภา และโดยความเห็นส่วนตัวไม่แก้ไขทั้งฉบับโดยเฉพาะหมวดพระมหากษัตริย์จะไม่แตะต้อง ซึ่งมันก็ขัดแย้งกันเอง ในเมื่อไม่รู้ว่าผลจะออกมาอย่างไร เป็นอำนาจของ ส.ส.ร.แล้วจะไปรู้ได้อย่างไรว่าไม่ให้แตะต้องหมวดสถาบันพระมหากษัตริย์ พิลึกจริง
อย่างไรก็ดี เมื่อเริ่มเข้าสู่กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเต็มรูปแบบแต่ละฝ่ายก็เริ่มเคลื่อนไหวกันคึกคักทันที ทั้งฝ่ายสนับสนุนและต่อต้าน ซึ่งบางครั้งก็มี “เรื่องแปลกๆ” ผสมโรงเข้ามา เช่น ล่าสุดก็มีคนบุกเข้าไปชกหน้า วรเจตน์ ภาคีรัตน์ หัวโจกเสนอแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 และแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดทอนพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ถึงในรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งที่กระแสเรื่องนี้ของกลุ่มนิติราษฎร์นั้นไม่มีพื้นที่ข่าวในหน้าสื่อนานแล้ว ถือว่าคนที่ชกและคนที่สั่งการ (ถ้ามี) ความรู้สึกช้า หรือไม่ก็ต้องการสร้างกระแสขึ้นมาใหม่
นอกเหนือจากนี้ เริ่มมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองทยอยกันออกมา เท่าที่เห็นเมื่อวันที่ 2 มีนาคม กลุ่ม “สยามสามัคคี” ก็ออกมาชุมนุมคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แม้จะเป็นลักษณะการอภิปรายทางวิชาการเป็นการให้ข้อมูลความรู้จากนักวิชาการ นักกฎหมาย แต่ก็ต้องมีการเปิดโปงความต้องการของ ทักษิณ ชินวัตร ที่อยู่เบื้องหลังการดำเนินการของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยด้วย
ถัดมาก็เป็นการนัดประชุมเพื่อกำหนดท่าทีการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในวันที่ 10 มีนาคมในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่าจะมีการคัดค้านในประเด็นใดบ้าง มีเงื่อนไขในการออกมาชุมนุมอย่างไรบ้าง รวมไปถึงอีกหลายกลุ่มที่จะต้องออกมาเคลื่อนไหว ซึ่งนับจากนี้จะมีดีกรีความร้อนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับฝ่ายทักษิณ เองว่าจะเป็นตัวเร่งให้เกิด “สงคราม”หรือไม่ เพราะหากไปยุ่งวุ่นวายอยู่กับเรื่องการแก้ไขเพื่อลบล้างความผิดให้ตัวเอง และที่สำคัญในเรื่องอ่อนไหวก็คือไปแตะต้องหมวดสถาบันพระมหากษัตริย์แล้วละก็รับรองว่า ทั้งพี่ทั้งน้องก็เตรียมตัวไม่มีแผ่นดินอยู่ถาวรแน่นอน!!