“ประพันธ์” ตั้งข้อสังเกตพิพากษาจำคุก “สนธิ” ถึง 85 ปี อาจเป็นแผนสกปรกรัฐบาลหวังหยุดพลังพันธมิตรฯ ในการคัดค้านแก้รัฐธรรมนูญ ลั่นถ้าจะชุมนุมครั้งใหม่ต้องเปลี่ยนแปลงประเทศไม่ใช่แค่เปลี่ยนขั้ว ด้าน “ปานเทพ” เผยหลังประกาศประชุม 10 มี.ค. ตำรวจตั้งข้อหาพันธมิตรฯ เพิ่มทันที แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลหวั่นเกรงการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งหากคนร่วมมาก ธงปฏิรูปจะเป็นไปได้สูงขึ้น
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ “คนเคาะข่าว”
วันที่ 29 ก.พ. เมื่อเวลา 20.30 น. นายประพันธ์ คูณมี อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ร่วมในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV
นายประพันธ์กล่าวถึงข้อเสนอรัฐบาลที่พยายามดึงพันธมิตรฯ เข้าร่วมในกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญว่า พวกเราไม่มีทางลงไปร่วมเล่นเกมสกปรก ถ้าจะให้ตนเป็นที่ปรึกษา ไม่ต้องไปเป็น แต่ขอเสนอให้ยุบสภาผู้แทนราษฎร เปลี่ยนการเลือกตั้งนายกฯ เอาหรือเปล่า และให้วางระบบตรวจสอบนักการเมืองให้เข้มข้นกว่านี้
ไม่ต้องมาเล่นละครปาหี่ หาความชอบธรรมให้กับความอุบาทว์ของรัฐธรรมนูญที่จะจัดทำขึ้น รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็คือฉบับเผาบ้านเผาเมือง ไม่ใช่จะมาถ่วงดุลอะไร ตนเชื่อว่าจะแก้หลายประเด็น รวมถึงประเด็นกองทัพด้วย ต้องไปอยู่ภายใต้อุ้งมือนักการเมือง ส่วนหมวดสถาบันกษัตริย์บอกจะไม่แตะต้อง แต่พอท้ายๆใกล้วาระ 2-3 อาจมีสอดแทรกเข้ามาได้
นายประพันธ์กล่าวอีกว่า ที่รัฐบาลต้องการดึงพันธมิตรฯเข้าร่วม ก็เพราะเวลานี้ขวากหนามสำคัญในการข่มขืนชำเรารัฐธรรมนูญ ก็คือพันธมิตรฯ แม้มีมวลชนกลุ่มอื่นออกมา ซึ่งเราก็สนับสนุนและเห็นด้วยว่าต้องออกมาแสดงพลัง แต่พันธมิตรฯได้รับการพิสูจน์แล้วว่าต่อสู้อย่างเอาจริงเอาจังถึงที่สุด เปรียบเหมือนกองทัพใหญ่ของภาคประชาชน หากชุมนุมมีการแตกหักกับรัฐบาลแน่ แค่บอกว่าจะประชุม 10 มีนาคมนี้ เขาก็พยายามหาทางมาหยุดยั้ง
ตนยังคิดเลยว่า คดีนายสนธิที่ถูกศาลพิพากษาจำคุกถึง 85 ปี อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ต้องการทำลายนายสนธิเพื่อหยุดยั้งพันธมิตรฯ แผนชั่วร้ายพวกนี้มีตลอดเวลา เรื่องนี้ไม่ธรรมดา คดีลักษณะนี้จำคุก 80 กว่าปี ตั้งแต่ประเทศมีตลาดหลักทรัพย์มา คงมีแค่คดีนี้ ซึ่งมันต้องศึกษาข้อเท็จจริงที่สลับซับซ้อน เพราะคดีอื่นๆ ก็คงหาเรื่องจำคุกนายสนธิได้ไม่ง่าย เรื่องนี้ยังต้องติดตามอีกเยอะ ขณะเดียวกันก็มาปากหวานดึงพวกเราไปเป็นพวก
นายประพันธ์ยังกล่าวด้วยว่า การประชุมวันที่ 10 มีนาคมนี้จะเป็นการร่วมกันคิด ร่วมวิเคราะห์ หาทางออกให้บ้านเมือง แต่ทั้งหมดต้องดูประชาชนในประเทศด้วย ว่าเห็นถึงความเลวร้ายสอดคล้องกับเราหรือเปล่า และดูความสุกงอมของสถานการณ์ด้วย เชื่อว่าถึงจุดหนึ่งทุกฝ่ายจะออกมาร่วมกัน และการสู้ครั้งนี้เพื่อเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนขั้ว ถึงจะคุ้มค่ากับการเสียสละครั้งใหม่
ทางด้านนายปานเทพกล่าวว่า หลายครั้งแล้วที่รัฐบาลพยายามดึงพันธมิตรฯ เข้าไปในเกม ครั้งแรกทางคณะกรรมการปรองดองแห่งชาติก็ทาบทามตนและนายคำนูณ เข้าไปร่วมในคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็ได้ปฏิเสธไป แต่ชื่อก็ยังไม่ลบทิ้ง
ส่วนกรณีที่ต้องการยุบศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญ และให้ไปอยู่ภายใต้ศาลฎีกา ก็เพื่อทำให้กระบวนการสามารถคัดเลือกเป็นขั้นเป็นตอน และข้ามฝ่ายไปมาได้ เพราะมันไม่เหมือนระบอบศาลปกครอง-ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเขาขาดออกจากระบบศาลปกติ แล้วทำให้เกิดกระบวนการที่สามารถจะมีลักษณะของการไม่ยึดโยงและเชื่อมโยงกัน แต่บุคคลในพรรคเพื่อไทย ไทยรักไทย พลังประชาชน จำนวนไม่น้อยมีโครงข่ายเดิมจากกระบวนการศาลยุติธรรมแต่เดิม ฉะนั้นการที่ไปอยู่เป็นอีกหนึ่งแผนก มันมีโอกาสทำให้ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อาจจะเป็นโครงข่ายของตัวเอง สามารถตลบขึ้นมาอยู่ในศาลปกครอง หรือศาลรัฐธรรมนูญได้
ฉะนั้น กระบวนการตอนนี้ไม่มีความจำเป็น และพันธมิตรฯ ไม่ควรเข้าไปร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นขวนการที่เกิดขึ้นภายใต้การแก้ไขรัฐธรรมนูญในรูปแบบใดก็ตาม ตราบใดที่ยังคงโครงสร้างแบบนี้อยู่ และไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีประโยชน์เลย แต่ถ้าเขาทำสำเร็จภายใต้วิธีการนี้ ประเทศก็จะไม่สงบไปอีกนาน เป็นการคิดที่ผิดพลาด โง่เขลาเบาปัญญา เพราะวันใดที่ประชาชนหมดที่พึ่ง เขามีวิธีเดียวคือลุกขึ้นสู้บนท้องถนน ต้นทุนตรงนี้แพงอย่างมหาศาลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
นายปานเทพกล่าวอีกว่า หลังจากที่พันธมิตรฯประกาศประชุม 10 มีนาคม หลังจากนั้นเพียงวันเดียว ก็มีข่าวจากตำรวจว่ามีการตั้งข้อหาพันธมิตรฯเพิ่ม โดยหมายเรียกอย่างเร่งด่วนในวันที่ 2 มีนาคม และให้เลื่อนได้ไม่เกินวันที่ 9 มีนาคม ก่อนวันนัดประชุมเพียงวันเดียว แล้วจะไม่ให้คิดได้อย่างไร ว่ามีกระบวนการตัดทอนพันธมิตรฯให้มีความรู้สึกหวั่นใจ ไม่กล้าเคลื่อนไหว แล้วที่ชัดที่สุดคือ ส.ส.เพื่อไทย-นปช.ออกมาเตรียมเคลื่อนไหวสนับสนุนรัฐธรรมนูญ ในวันเดียวกันกับที่พันธมิตรฯนัดประชุมด้วยซ้ำ กระบวนการเหล่านี้สะท้อนว่าเขาไม่มั่นใจต่อพันธมิตรฯว่ามีผลสั่นคลอนรัฐบาลมากน้อยแค่ไหน
เราจะเห็นว่ากลุ่มอื่นเคลื่อนไหว รัฐบาลไม่ยี่หระ ไม่ได้ดูถูก แต่รู้ว่าไม่ยืดเยื้อเดี๋ยวก็กลับ แต่พันธมิตรฯทุกครั้งที่มีการประกาศ อย่างการค้านนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณรีบเขียนจดหมายประกาศทันทีว่าไม่นิรโทษกรรม เพราะถ้าพันธมิตรฯนับหนึ่งทีไร มันยาว และการถลกหนังของรัฐบาลชุดนี้ก็ง่ายมาก
ดังนั้น เมื่อเรารู้สถานภาพ เลือกตั้งโหวตโนอาจไม่ได้มีคนมาก แต่มั่นใจว่าผู้ชุมนุมเรามีมาก และทุกคนรับรู้ได้ว่าเหลือกลุ่มเดียวที่ไม่ได้ทำเพื่อพรรคการเมือง ที่เหลือสามารถจับได้หมดว่าใครเป็นผู้หนุนหลัง ภายใต้เงื่อนไขนี้ ฝ่ายการเมืองเมืองตระหนักดี จึงไม่แปลกใจทำไมคดีนายสนธิ คำพิพากษาครั้งนี้จำคุกถึง 85 ปี เป็นคดีแรกที่เคยได้ยินในประวัติสาสตร์ ว่าคดีในพรบ.ตลาดหลักทรัพย์ ที่ลงโทษร้ายแรงเสียยิ่งกว่าคดียาเสพติด หรือคดีฆาตกรรมบางคดีด้วยซ้ำ
ที่สำคัญบางเหตุผลที่สามารถสู้ต่อไปในชั้นศาลอุทธรณ์ เช่น การที่ศาลอ้างเหตุว่าคดีนี้อาจส่งผลให้เป็นจุดเริ่มต้นของการล่มสลายของระบบเศรษฐกิจของประเทศได้ นี่เป็นเหตุให้พิพากษารุนแรง ตนเห็นว่าข้อความอย่างนี้ทำให้เรามีโอกาสต่อสู้ในข้อเท็จจริง เพราะไม่เคยมีรายงานไหนระบุเลยว่าบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เป็นเหตุให้เศรษฐกิจล่มสลาย ไม่มีเลย มีแต่เหตุเริ่มต้นจากขบวนการของนักการเมือง
นายปานเทพกล่าวอีกว่า วันที่ 10 มีนาคมนี้ ถ้าคนมาร่วมประชุมกันมาก ก็จะแสดงให้เห็นถึงพลัง สร้างความหวั่นเกรงให้กับฝ่ายการเมืองที่ลุแก่อำนาจ แล้วถ้ากลุ่มอื่นไม่ประสบความสำเร็จในการเคลื่อนไหว แล้วหวังพึ่งพันธมิตรฯ ก็จะทำให้ธงของพันธมิตรฯในการเรียกร้องปฏิรูปเป็นไปได้สูงขึ้น เพื่อปฏิรูปครั้งใหญ่