ผ่าประเด็นร้อน
ไม่ว่าเป็นเพราะควานหาทั้งพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลไม่เจอใคร หรือว่าเป็นเพราะไปโม้เอาไว้มากแล้วอาสารับงานใหญ่มาทำก็ไม่อาจรู้ได้ หรือเป็นไปได้ทั้งสองอย่างทำให้ รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กำลังกลายเป็นคนที่ “ใช้อำนาจ” มากที่สุดในรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมไปถึงใช้อำนาจมากที่สุดในสภาในนามพรรคเพื่อไทยอีกด้วย
หลายคนอาจมีการวิเคราะห์ตรงกันว่า เป็นเพราะ “ความเขี้ยว” และการรู้จักฉกฉวยโอกาสเข้ามาอาศัยในพรรคเพื่อไทยในช่วงจังหวะที่พวกระดับ “แถวหนึ่ง-แถวสอง” ต้องถูกสั่งเว้นวรรคทางการเมือง มาตั้งแต่ยุบพรรคไทยรักไทย ต่อเนื่องมาจนถึงพรรคพลังประชาชน ทำให้บุคคลที่อยู่ในระนาบเดียวกันทั้งที่เคยขับเคี่ยวมาด้วยกัน หรือเคียงคู่กันมาต้องออกไปนั่งดูข้างเวทีอยู่ชั่วคราวอย่างเช่นในปัจจุบัน
คนอย่างเฉลิมรู้ดีว่าถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ บรรดาพวกแกนนำพรรคไทยรักไทยเดิมสามารถโลดแล่นอยู่ในเวทีการเมืองได้ มันก็ย่อมเป็นหนทางตันสำหรับตัวเขาที่จะสอดแทรกเข้ามาได้ง่ายอย่างเช่นทุกวันนี้ อีกทั้งถ้าให้ใช้บารมีของตัวเองก็ยังถือว่าไม่มีราคาพอ เพราะหากย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ตัวเองยังลงทุนทำพรรคมวลชน ก็ได้ ส.ส.อยู่ในราว 3-6 คน อยู่ประมาณนี้ และหากพิจารณากันตามความเป็นจริงส่วนใหญ่ก็จะเอาตัวรอดมาได้แค่ 1-2 คนเท่านั้น
นี่คือศักยภาพที่แท้จริงทางการเมืองส่วนตัวของเฉลิม อยู่บำรุง
แต่ด้วยความที่ปากมาก มีลีลาท่าทางในการพูดน่าสนใจและเลียนแบบมาจาก สมัคร สุนทรเวช เพียงแต่แตกต่างในรายละเอียด ที่มักมีเสียงร่ำลือในเรื่อง “นักแบล็กเมล์” ทำให้ต้องถูกดึงเข้ามาร่วมอยู่ในวงจรอำนาจไม่ได้ขาด หวังจะปิดปากไม่ให้พูดมาก แต่ขณะเดียวกันมันก็เหมือนกับเป็นดาบสองคม เพราะอีกด้านด้วยบุคลิกลักษณะขี้โม้ “กร่าง” หรือที่เรียกว่า “แอ็กอาร์ต” ทำให้กลายเป็น “ชนวน” สร้างความหมั่นไส้ไปทั่ว ดังตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล “น้าชาติ” พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ จนเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งของการรัฐประหารของ รสช.เมื่อหลายปีก่อนนั่นแหละ
หากย้อนดูแบ็กกราวนด์อีกนิดหนึ่งในช่วงเวลานี้หากพิจารณาจากข้อมูลที่ได้รับรู้ก็คือ ยุคที่ ร.ต.อ.เฉลิม กำลังกร่างสุดขีด และได้รับมอบหมายอำนาจจาก พล.อ.ชาติชาย ที่เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ให้ทำการแทนในหลายเรื่อง คล้ายๆ กับในปัจจุบันที่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังใช้ให้ทำภารกิจหลายอย่างแทนตัว เพียงแต่ว่าเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของคนสั่งนั้นแตกต่างกัน คือ
กรณีของ พล.อ.ชาติชาย นั้นไม่อยากเปลืองตัว หรือนำตัวเองไปเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรง แต่สำหรับในยุคของนายกฯ ยิ่งลักษณ์นั้น ความจำเป็นอาจต่างกันในเรื่องสติปัญญา หรือสมองสั่งการก็เป็นได้
อย่างไรก็ดี หากว่าไปแล้วเมื่อย้อนกลับไปดูแบ็กกราวนด์ความสัมพันธ์ระหว่าง เฉลิม กับ ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของรัฐบาลชุดปัจจุบัน นั้นระหว่างคนสองคนก็ไม่ได้ถือว่าแนบแน่นกันมาอะไรนัก ตรงกันข้ามถือว่าอยู่ในระดับหมางเมินกันด้วยซ้ำ เพราะในฐานะที่ทักษิณ ยังเป็นนักธุรกิจประเภทเอสเอ็มอี ต้องวิ่งเต้นขอสัมปทานจากนักการเมือง หากจำกันได้เมื่อครั้งทำธุรกิจเคเบิลทีวีต้องไปพินอบพิเทา เฉลิม ที่เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ คุม อสมท.ในตอนนั้นประเภทต้องซื้อก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อยไปนั่งรออยู่หน้าห้องเป็นชั่วโมงกว่าจะได้เข้าพบ เป็นใครก็ต้องจำเหตุการณ์ได้ดี
นี่อาจเป็นสาเหตุที่ว่าในยุคแรกที่ยังจูนความจำกันไม่ลงตัวทำให้ เฉลิม ต้องถูกกันออกมาอยู่วงนอกมานาน แต่เป็นเพราะหมดหนทาง หันไปทางไหนหาคนรับใช้ที่มีประสบการณ์ไม่มี ประกอบกับเวลาไล่หลังเข้ามา รวมทั้งมีคนเข้าไปรับอาสาพูดจากเป่าหูให้เคลิบเคลิ้มทำให้ต้องตัดใจใช้บริการ และนี่คือที่มาของการให้บทบาทสำคัญกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ในแทบทุกเรื่องในรัฐบาลนี้หรือเปล่า
ที่ผ่านมาหลังจากรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีก็ได้รับมอบอำนาจนายกรัฐมนตรีเข้ามานั่งเป็นประธานกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) มีวาระผลักดัน “พี่เมีย” ทักษิณ คือ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสำเร็จ จากนั้นก็นำไปสู่การแต่งตั้ง “หลานเขย” พจมาน ณ ป้อมเพชร พล.ต.ท.วินัย ทองสอง เป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล รวมไปถึงตำแหน่งอื่นๆ ที่สำคัญเอาไว้ในมืออย่างเบ็ดเสร็จ
ที่น่าสังเกตก็คือ นับวัน ร.ต.อ.เฉลิม ได้เข้ามามีบทบาทในรัฐบาลยิ่งลักษณ์มากขึ้นทุกเรื่องทั้งในฐานะการใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี ทั้งในรัฐบาลและในสภา ทำให้เวลานี้แทบจะเรียกได้ว่าจะกลบความสำคัญของรัฐมนตรีคนอื่นไปหมดแล้ว เห็นได้ชัดจากการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) มายกร่างฉบับใหม่ที่มีเป้าหมายเพื่อลบล้างความผิดให้ ทักษิณ นั้นเดิมนั้นน่าจะเป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก แต่ก็โดนเบียดจมน้ำไปเรียบร้อยแล้ว และหลังจากนี้ก็ยังวาระที่ประกาศเอาไว้ล่วงหน้าก็คือเตรียมรับหน้าที่เสนอร่างพระราชบัญญัติปรองดองฯ ร่นระยะเวลาช่วย นายทักษิณ ให้เร็วขึ้นไปอีก
สำคัญแค่ไหนลองนึกดูเอาก็แล้วกันว่าขนาดเรื่องส่วนตัว “ลับเฉพาะ” ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ ที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ไปพบกับนักธุรกิจอสังหาฯ อย่าง เศรษฐา ทวีสิน เมื่อหลายวันก่อนก็ยังมอบหมายให้ เฉลิม แถลงชี้แจง ล่าสุดได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลหน่วยงานด้าน “การข่าว” รุกคืบเข้ามาดูแลด้านความมั่นคงเพิ่มเข้ามาอีก ใหญ่แค่ไหนลองคิดดู
แต่อีกด้านหนึ่งถ้าลองย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ในอดีตก็มักมีคนพูดกันว่าอย่าปล่อยให้เหลิมได้มีอำนาจเป็นอันขาด เพราะไม่เช่นนั้นจะ “เหลิง” สร้างความปั่นป่วนให้กับบ้านเมือง ซึ่งถ้าพิจารณาจากเหตุการณ์หลายอย่างที่กำลังปรากฏทั้งในสภาและนอกสภามันก็เริ่มเห็นบรรยากาศเก่าที่เริ่มกลับเข้ามาอีกหลังจากเหลิมเริ่มหลงตัวเองคิดว่ามีอำนาจคับบ้านคับเมืองอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน มันก็เริ่มเห็นสัญญาณเป็นชนวนทำให้เจ้าของอำนาจตัวจริงต้องตกเก้าอี้ได้เร็วขึ้นเหมือนกัน!!