ผ่าประเด็นร้อน
นาทีนี้ไม่ต้องมาเถียงให้เสียน้ำลายแล้วว่า ความสามารถของนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมไปถึงรัฐมนตรีทั้งคณะด้วย ว่ามี “น้ำยา” แก้ปัญหาเยียวยาอุทกภัยได้มากน้อยแค่ไหน คิดว่าสังคมส่วนใหญ่รับรู้กันดีอยู่แล้ว
แม้กระทั่งผลสำรวจความเห็นของชาวบ้านล่าสุดที่เผยแพร่ออกมาเมื่อวานนี้ (13 พฤศจิกายน) สะท้อนความรู้สึกชัดเจนว่าความเชื่อมั่นต่อ นายกรัฐมนตรีลดลงกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ตรงกันข้ามกับคนที่ยังเชื่อมั่น เหลือแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ ห่างกันครึ่งต่อครึ่ง รวมไปถึงประเด็นอื่นๆล้วนติดลบทั้งสิ้น
สภาพของความ “เก่งกาจ” เหนือมนุษย์ ประเภทตัวแทนเข้ามาปลดเปลื้องทุกข์สร้างความสุขได้ลดลงอย่างฮวบฮาบ จนเวลานี้อยู่ในระดับธรรมดาสามัญ “ห่วยแตก” เหมือนกันหมดแล้ว
สภาพของความโกลาหล ความเดือดร้อน ข้าวยากหมากแพง กำลังเกิดขึ้น และมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ภายหลังน้ำลดไปแล้ว
ที่ผ่านมาแม้ว่าจะมีความพยายามใช้แผนป้ายความผิดให้กับคนอื่นเพื่อกลบเกลื่อนความล้มเหลว ไร้ปัญญาของตัวเองก็ไร้ผล เนื่องจากชาวบ้านรู้ทัน อีกทั้งเมื่อมีการตรวจสอบและชี้ให้เห็นในเรื่องการปล่อยน้ำออกจาก “เขื่อนใหญ่” ว่าต้องผ่านการพิจารณาของ “คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ” ที่มีนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีที่นายกฯมอบหมายเป็นประธาน ไม่ใช่ว่าใครจะสั่ง “กักน้ำ-อมน้ำ” ได้โดยพลการ
อีกทั้งถ้าเห็นการกักน้ำ แล้วยังนิ่งเฉยทั้งที่ตัวเองมีอำนาจอยู่ในมือเต็มเปี่ยม ไม่สั่งการบรรเทาปัญหา เห็นความพินาศตรงหน้าด้วยความเฉยชา มันก็สมควรไปลงนรกได้แล้ว
ดังนั้น การที่รัฐบาลของยิ่งลักษณ์เข้ามาบริหารประเทศมาเมื่อกว่า 2-3 เดือนที่แล้ว แล้วจะมากล่าวโทษคนอื่นว่า อมน้ำ ถูก “วางยา”นั้น หรือเชื่อตามที่ จตุพร พรหมพันธุ์ และแกนนำคนเสื้อแดงพยายามเน้นย้ำขยายผลอยู่ตลอดเวลานั้นถือว่าระบบการไตร่ตรองหาเหตุผลน่าจะมีปัญหาแน่นอน
เพราะไม่ว่ามองมุมไหน แบบเอาใจช่วยกันแค่ไหนก็ตาม มันก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เพราะความเดือดร้อนของชาวบ้านมันฟ้องให้เห็นอยู่ตำตา
สภาพของความไม่เอาไหน ทำให้เกิดวิกฤติศรัทธาของนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งแน่นอนว่ายังสะเทือนไปถึงพี่ชาย คือ ทักษิณ ชินวัตร เข้าไปเต็มๆ อีกด้วย เพราะสังคมรับรู้กันไปทั่วว่า ยิ่งลักษณ์ เป็นโคลนนิ่ง เมื่อล้มเหลวก็ต้องรับไป
สรุปก็คือเวลานี้ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์กำลังหมดสภาพลงไปทุกที ความเชื่อมั่นลดลงอย่างฮวบฮาบ ไม่สามารถโยนให้ใครรับผิดชอบ หรือกล่าวโทษคนอื่นได้เลย
สิ่งที่น่าพิจารณากันก็คือท่าทีของผู้นำฝ่ายค้าน คือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ไม่เห็นด้วยกับแรงกดดันให้ ยิ่งลักษณ์ ลาออกหรือยุบสภาในช่วงนี้ หากมองในมุมการเมืองมันก็เหมือนกับ “หวังดีแต่ประสงค์ร้าย” ปล่อยให้สถานการณ์ลากยาว และ “ฆ่ายิ่งลักษณ์” จนเหือดแห้งตาย ต้องการให้ชาวบ้านได้พิสูจน์เห็นกับตาตัวเอง รอคอยโอกาสเพื่อเข้ามาแข่งขันที่สูสีในภายหน้า เป็นการอดเปรี้ยวไว้กินหวาน
อย่างไรก็ดี สำหรับ ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นเจ้าของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ก็คงนั่งไม่ติด เพราะคาดไม่ถึงว่าจะต้องมาจมน้ำเอาดื้อๆแบบนี้ ต้องหาทางแก้เกมผ่อนหนักให้เป็นเบา หรือเบนเป้าไปทางอื่นชั่วคราว และถ้าพิจารณากันอย่างรู้ทันก็ต้องเข้าใจว่า การตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคต (กยอ.) ที่มี “ดร.โกร่ง” วีรพงษ์ รามางกูร เป็นประธาน โดยเข้ามาทำหน้าที่ในการวางแผนบริหารจัดการของประเทศทั้งหมด แม้ว่าในเบื้องต้นอาจเรียกเสียงฮือฮาบ้าง แต่เมื่อพิจารณาจากตัวบุคคลแล้วไล่ลงมาตั้งแต่ตัวประธานคือ ดร.โกร่งแล้วในวงการล้วนแล้วแต่ไร้เครดิต ไม่เคยมีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน
แต่สำหรับ ทักษิณ แล้ว การตั้ง วีรพงษ์ เข้ามารับหน้าเสื่อ เบี่ยงเบนความสนใจไปจากน้องสาว คือนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ลงไปบ้างนับว่าเป็นผลดี เพราะการแต่งตั้ง ดร.โกร่ง ก็ไว้วางใจได้ หากเทียบกับคนอื่น แม้ว่าผลที่จะออกมาในด้านความเชื่อมั่นในอนาคตจะเป็นที่คาดเดาได้ว่าจะไม่เป็นโล้เป็นพาย เมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวนด์ของตัวบุคคล และคนแบบนี้แหละที่เขาต้องการ ความหมายก็คือไม่ต้องการให้ “เด่นเกินหน้า” เป็นอันขาด
ดังนั้น ถ้าพิจารณาตามสถานการณ์ก็ต้องยอมรับความจริงว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทยกำลังอยู่ในช่วง “ขาลง” อย่างรวดเร็วแทบไม่น่าเชื่อ เพียงแต่ว่าจะหาทางยื้อให้ได้นานแค่ไหนเท่านั้นเอง และการตั้งสารพัดคณะกรรมการขึ้นมาก็เป็นแค่การเบี่ยงเบนชั่วคราว ซึ่งก็รวมไปถึงคณะกรรมการชุดที่มี วีรพงษ์ รามางกูร มาสร้างอนาคต ก็คงช่วยไม่ได้มาก เพราะตัวบุคคลไม่มีเครดิต ในวงการเป็นได้แค่ “ตัวตลก” เท่านั้น!!