xs
xsm
sm
md
lg

“แม้ว-ฮุนเซน” ผลประโยชน์ พลิกจากศัตรูมาเป็นมิตร!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

หลายคนที่เห็นภาพ นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุนเซน กอดกันกลมกับ ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีในวันนี้ แสดงภาพให้เห็นว่ามีความสัมพันธ์ดูดดื่ม คงจะนึกไม่ถึงว่าที่ผ่านมาทั้งคู่เคยเป็นศัตรูคู่อากาศต้องหาทางกำจัดทิ้งไปให้จงได้มาแล้ว

หากย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อนได้เกิดเหตุการณ์ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลฮุนเซน ขึ้นในกรุงพนมเปญ โดย “นายพลซอนซาน” คู่อริเก่า แต่ประสบความล้มเหลวจนต้องหนีตายเข้าไทย ว่ากันว่าฝ่ายที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าวมี ทักษิณ ชินวัตร นี่แหละมีส่วนเกี่ยวข้อง

ส่วนสาเหตุนั้นมาจากกรณีที่ ฮุนเซน ได้เปลี่ยนแปลงอายุสัมปทานธุรกิจสื่อสารของ ทักษิณ ในกัมพูชา จากเดิมอายุ 99 ปี ให้ลดลงมาเหลือ 30 ปี จนสร้างความโกรธแค้น เป็นอย่างมาก จนต่อมาได้เกิดการรัฐประหารดังกล่าว

นั่นเป็นเหตุการณ์หวาดเสียวที่เกิดขึ้นในกรุงพนมเปญ หากนายพลซอนซอนก่อการได้สำเร็จ ก็เชื่อว่าการเมืองของกัมพูชาก็คงจะพลิกผันไม่เป็นอย่างเช่นวันนี้ และไม่รู้ว่าฮุนเซนจะมีชีวิตรอดหรือไม่ เพราะจากข้อมูลที่ฮุนเซนเคยเอ่ยปากว่า มีคนไทย “หน้าเหลี่ยมๆ” คนหนึ่งจ้องจะเอาชีวิตเขาด้วย

ถัดมาก็เกิดเหตุการณ์เผาสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2546 ในยุคที่ ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีของไทย ในตอนนั้นหน้าฉากคนไทยก็ได้เห็น “ภาวะผู้นำ” ภาพข่าวทางโทรทัศน์ได้ถ่ายทอดคำพูดของ ทักษิณ ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานทางทหารเป็นการฉุกเฉินโดยคำพูดที่แข็งกร้าวว่าหากสถานการณ์ในพนมเปญยังไม่เรียบร้อยโดยเฉพาะคนไทยและสถานทูตไทยยังไม่ปลอดภัยก็จะส่งหน่วยคอมมานโด และเครื่องบินเอฟ 16 เข้าโจมตี ซึ่งก็ได้รับเสียงชื่นชมจากคนไทยทั่วไปกันอื้ออึง

แต่ในเวลาต่อมาก็มีเสียงนินทาไล่หลังว่า ท่าทีดังกล่าวมีการ “จัดฉาก” และมีเงินก้อนโตตอบแทน อีกทั้งเป็นเพราะ “บริษัทคอมโบเดียชินวัตร” ถูกเผาวอด ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานแม้ว่าทางฮุนเซนจะยอมชดใช้ค่าเสียหายกรณีสถานทูตไทยถูกเผาและทรัพย์สินของคนไทยทั้งหมด แต่ก็มีรายงานว่ามีการตั้งงบประมาณแบบสำรองจ่ายไปก่อนจากรัฐบาลไทยจำนวน 21 ล้านดอลล่าร์ แต่หลังจากนั้นมีการจ่ายคืนมาจากรัฐบาลกัมพูชาหรือไม่ก็ยังไม่มีความชัดเจน

อย่างไรก็ดี กรณีที่เกิดขึ้นดังกล่าวแม้ว่าจะมีการรายงานให้เห็นภาพมาแล้วหลายครั้ง ที่สำคัญเป็นการชี้ให้เห็นว่าทั้งคู่ คือ ฮุนเซน และ ทักษิณ เคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาก่อน และถึงขั้นจะเอาชีวิตกันมาแล้ว เพื่อเป็นแบ็กกราวนด์ก่อนที่จะ “หักมุม” กลายเป็น “พี่น้อง” มีความสัมพันธ์แนบแน่นกันในวันนี้

ความเปลี่ยนแปลงชนิดที่เรียกว่าเกิดขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังเท้าแบบนี้ เชื่อว่าหลายคนคงต้องตั้งข้อสงสัยพิศวงกันไม่หาย หากพิจารณาจากเหตุการณ์ในอดีตดังกล่าว และคงเชื่อว่าเบื้องหลังของการ “สวมกอด” ที่เกิดขึ้นจะต้องแลกมาด้วย “ตัวเลขหลายหลัก” หรืออย่างน้อยต้องมีเรื่องผลประโยชน์อันมหาศาลเข้ามาเกี่ยวข้องแน่นอน ซึ่งในที่นี้ย่อมรวมถึงผลประโยชน์ทางการเมืองแน่นอน

สำหรับเบื้องหลังของการมอบเหรียญรางวัลเกียรติยศก็เช่นเดียวกัน เพราะตามรายงานปรากฏว่า “ได้ครบ” กันทุกคน หากไล่เรียงกันลงมาตั้งแต่ “หัวโจก” ใหญ่สุดคือ ทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องให้รางวัลตอบแทนต่อเนื่องย้อนหลังไปตั้งแต่เป็นนายกรัฐมนตรีมาตั้งแต่ปี 2544 รวมไปถึง นพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่กระทำความดียอมลงนามในแถลงการณ์ร่วม “ไฟเขียว” ให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้เพียงฝ่ายเดียว

นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตก็คือ ในการประชุมและการปาฐกถาทางเศรษฐกิจที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าเป็นการประชุมว่าด้วยเรื่องทิศทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค เป็นงานช้างกันเลย ซึ่งก็มีการเชิญ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ในรัฐบาล ทักษิณ และเป็นคนที่ลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมไทย-กัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ทับซ้อนในทะเล (เอ็มโอยู 2544) เขาก็ได้รับเชิญเข้าร่วมเป็นวิทยากรมาบรรยายทางวิชาการในครั้งนี้ด้วย

หากแยกพิจารณาเฉพาะกรณีของทักษิณที่เดินทางมากัมพูชาในฐานะ “แขกพิเศษ” ของ ฮุนเซน หลายคนกำลังจับตามองว่าต้องเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางธุรกิจพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยอย่างแน่นอน โดยปะติดปะต่อจากการเดินทางเยือนกัมพูชาของน้องสาวที่เป็นนายกรัฐมนตรีคือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้ว่าทั้งคู่จะไม่ได้เจอกัน แต่ทิ้งระยะกันเพียงแค่ 1 วันเท่านั้น จากนั้นทักษิณก็เดินทางเข้ามาและปักหลักอยู่ที่นั่นนานถึง 4-5 วัน

นอกจากนี้ ที่น่าจับตาไปกว่านั้นก็คือ การเข้าพบหารือกันระหว่างประธานผู้บริหารสูงสุดของบริษัทเชฟรอน ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา กับนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังจากกลับจากการเยือนกัมพูชาเพียงหนึ่งวันเท่านั้น

หากนำทุกเหตุการณ์มาปะติดปะต่อเชื่อมโยงเป็นภาพใหญ่ล้วนเกี่ยวข้องกัน และรับรองว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์มหาศาล ส่วนใครจะได้ส่วนแบ่งในสัดส่วนเท่าใด ค่อยมาว่ากันในรายละเอียด แต่ในขณะเดียวกัน ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะกรณีของ “ทักษิณ-ฮุนเซน” ถือว่าเป็นกรณีศึกษา เพราะแทบไม่น่าเชื่อว่าจากคนที่เป็นศัตรูคู่อาฆาต แต่มาวันนี้กลับตาลปัตรหันมาสวมกอดอย่างสนิทสนม แต่หากติดตามมาอย่างต่อเนื่องก็ไม่น่าแปลกใจกับภาพที่เกิดขึ้นแน่นอน!!
กำลังโหลดความคิดเห็น