ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เชื่อแน่ว่าหลายคนคงได้เห็นภาพอันสุดแสนจะหวานซึ้ง “ดูดดื่ม” ระหว่าง “นช.ทักษิณ ชินวัตร” กับ “นายฮุนเซน” ที่พอได้เห็นหน้ากัน ทั้งสองก็โผผวาเข้า “กอดกันกลม” ถึงแม้คนหนึ่งจะเป็นนักโทษหนีคดีจากประเทศไทย และอีกคนเป็นถึงนายกรัฐมนตรีประเทศกัมพูชา แต่ความแตกต่างทางสถานภาพ ก็ไม่อาจขัดขวางความรักและความสัมพันธ์ที่เขาทั้งสองมีให้แก่กันได้ แม้เวลาจะผ่านผันมาเนิ่นนานเพียงใดก็ตาม
นอกจากนี้ หลายคนคงไม่นึกไม่ฝันว่า “ความรัก” ของคนทั้งคู่เริ่มต้นจากการเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่ต้องหาทาง “กำจัด” ทิ้งไปให้จงได้มาก่อน แม้จะฟังคล้าย “นิยายน้ำเน่า” แต่เรื่องของทั้งสองก็เป็นที่เล่าขานกันมาจนถึงทุกวันนี้
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ได้เกิดเหตุการณ์ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาล ฮุนเซนขึ้นในกรุงพนมเปญ โดย “นายพลซอนซาน” แต่ประสบความล้มเหลว จนต้องหนีตายเข้ามาในประเทศไทย ว่ากันว่าการก่อรัฐประหารครั้งนั้นมี “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
เรื่องของเรื่องสืบเนื่องมาจาก “ฮุนเซน” ดันไปทะลึ่งเปลี่ยนแปลงอายุสัมปทานธุรกิจสื่อสารของ “ทักษิณ” ในกัมพูชาเข้า จากเดิมอายุ 99 ปี ให้ลดลงมาเหลือแค่ 30 ปี จนสร้างความโกรธแค้นให้เสี่ยแม้วเป็นอย่างมาก จนกระทั่งต่อมาได้เกิดเหตุการณ์รัฐประหารขึ้นในที่สุด
ลองคิดดูว่า หากนายพลซอนซานก่อการได้สำเร็จ ป่านนี้กัมพูชาจะเป็นอย่างไร และไม่รู้ว่าฮุนเซนจะมีชีวิตรอดอยู่มาจนถึงทุกวันนี้หรือไม่ เพราะจากข้อมูลที่ฮุนเซนเคยเอ่ยปากบอกว่า มีคนไทย “หน้าเหลี่ยมๆ” คนหนึ่งจ้องจะเอาชีวิตเขาด้วย
หลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ “เผาสถานทูตไทย” ในกรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2546 ในยุคที่ “ทักษิณ” เป็นนายกรัฐมนตรี ในตอนนั้น “หน้าฉาก” คนไทยได้เห็น “ภาวะผู้นำ” ภาพข่าวทางโทรทัศน์ได้ถ่ายทอดคำพูดของ “ทักษิณ” ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานทางทหารเป็นการฉุกเฉิน โดยทักษิณประกาศกร้าวว่า หากสถานการณ์ในพนมเปญยังไม่เรียบร้อย โดยเฉพาะคนไทยและสถานทูตไทยยังไม่ปลอดภัย จะส่งหน่วยคอมมานโดและเครื่องบินเอฟ 16 เข้าโจมตี ครั้งนั้นทักษิณได้รับเสียงชื่นชมจากผู้คนทั้งประเทศดังอึงมี่
แต่ในเวลาต่อมาไม่นาน ก็มีเสียงนินทาไล่หลังว่า ท่าทีดังกล่าวมีการ “จัดฉาก” และมีเงินก้อนโตตอบแทน อีกทั้งเป็นเพราะ “บริษัทคอมโบเดียชินวัตร” ถูกเผาวอด ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน แม้ว่าทางฮุนเซนจะยอมชดใช้ค่าเสียหายกรณีสถานทูตไทยถูกเผาและทรัพย์สินของคนไทยทั้งหมด แต่ก็มีรายงานว่ามีการตั้งงบประมาณแบบสำรองจ่ายไปก่อนจากรัฐบาลไทยจำนวน 21 ล้านดอลลาร์ แต่หลังจากนั้นมีการจ่ายคืนมาจากรัฐบาลกัมพูชาหรือไม่ ก็ยังไม่มีความชัดเจน
จากกรณีที่กล่าวมา จะเห็นได้ชัดเจนว่า “ทักษิณ-ฮุนเซน” เคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตถึงขั้นจะฆ่าแกงกันมาก่อน และสายสัมพันธ์ของทั้งสองน่าจะขาดสะบั้นลงนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ครั้งนั้น แต่ทว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองยังอยู่ และดูเหมือนว่ามันกลับฟื้นคืนชีพอีกครั้ง หลายคนอาจสงสัยว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น คำตอบก็คือ ไม่ใช่เพราะความรักความพิศวาสอะไรกันนักหนาหรอก แต่เป็นเพราะ “เงิน-อำนาจ-ผลประโยชน์” ที่ทำให้ “ศัตรู” กลายมาเป็น “มิตร” จนถึงกับต้องมาจัดฉาก สร้างภาพ และประกาศให้โลกได้รับรู้ว่าพวกเขาเป็น “พี่น้อง” มีความสัมพันธ์เกี่ยวดองกันมาจนถึงวันนี้ และอาจจะ “ชั่วนิรันดร์”!
อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงชนิดที่เรียกว่าจาก “หน้ามือ” เป็น “หลังเท้า” แบบนี้ หากพิจารณาประกอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ก็คงหมดข้อสงสัยถึงเบื้องหลังของความ “หวานซึ้งดูดดื่ม” เพราะการ “สวมกอด” ที่เกิดขึ้นจะต้องแลกมาด้วย “ตัวเลขหลายหลัก” มีเรื่องผลประโยชน์อันมหาศาลเข้ามาเกี่ยวข้อง และแน่นอนงานนี้ย่อมรวมถึงผลประโยชน์ทาง “การเมือง” อีกด้วย
"ผมขอให้ทุกท่านเชื่อมั่นว่าในฐานะ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นพี่ชายของผม ผมพร้อมที่จะปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ"
นั่นคือคำหวานที่ “ฮุนเซน” มอบให้พี่ชาย “ทักษิณ” ในโอกาสที่มาเยือนกัมพูชา และเช่นกัน “พี่ชาย” ก็โปรยเสน่ห์ยาหอมตอบกลับไปอย่างไม่รอช้า
"แม้ผมจะกลับเมืองไทยไม่ได้ แต่อบอุ่นเสมอเมื่อมากัมพูชาครั้งนี้มีพี่น้องมาพบเยอะมาก ผมอยากจะบอกว่าในอาเซียนเรามีพี่น้อง 3 คน คนโตคือสุลต่านบรูไน คนที่สองคือผม คนที่สามคือสมเด็จฯ ฮุนเซน ตลอดเวลาที่ผมถูกรังแก บรูไน และกัมพูชาอนุญาตให้ผมพบกับพี่น้องเสมอ เขาเป็นเพื่อนในยามยาก ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สมเด็จฯ ฮุนเซน เป็นเหมือนน้องชายยามยาก มิตรภาพเช่นนี้ลึกๆ เป็นความสัมพันธ์ทั้งสองประเทศ ผมรับรองว่ามิตรภาพเช่นนี้จะราบรื่นตลอดไป"
ทั้งนี้ หากพิจารณาการเดินทางเยือนกัมพูชาของ “ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ” สองพี่น้องตระกูล “ชินวัตร” โดยทั้งคู่เดินทางมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน แม้ในทางเปิดเผย “น้องสาวกับพี่ชายที่แสนดี” จะไม่มีการได้พบกันก็ตาม
แต่การเดินทางของสองพี่น้องได้รับการจับตามองจากสังคมไทยและต่างประเทศ ว่าต้องเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางธุรกิจพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนใน “อ่าวไทย” แม้ว่าจะมีการปฏิเสธอย่างแข็งขันก็ตาม แต่สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ ก่อนหน้านี้ รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา “ซกอาน” ที่รับผิดชอบเรื่องการเจรจาดังกล่าวก็เปิดเผยออกมาเองว่าจะมีการหารือกันระหว่างผู้นำไทยกับกัมพูชา
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากกำหนดการเยือนของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ทั้งตัว “น้องสาว” ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีไทย ที่มาเยือนกัมพูชาก่อนหน้า 1 วัน เหมือนกับว่าไป “นำร่อง” เปิดหัวข้อเจรจา ส่วนตัว “พี่ชาย” จะเป็นผู้ตามมา “สานต่อ” ตกลงในรายละเอียด แบ่งสันปันส่วนผลประโยชน์ระหว่างกัน มันก็เป็นไปได้ ใช่หรือไม่
นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องนำมาปะติดปะต่อเชื่อมโยงถึงกันก็คือ กรณี “จอห์น เอส วัตสัน” ประธานและกรรมการผู้บริหารสูงสุดของบริษัท เชฟรอน คอร์ปอร์เรชั่น ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของโลก เข้าเยี่ยมและมอบของที่ระลึกให้แก่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังจากกลับจากการเดินทางเยือนกัมพูชาเพียง 1 วันเท่านั้น นั่นก็ยิ่งเข้าเค้าและผิดสังเกตเข้าไปใหญ่ เพราะหากติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวก็จะพบว่าบริษัทเชฟรอนฯ เป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับสัมปทานเข้าไปขุดเจาะน้ำมันในพื้นที่ทับซ้อนอ่าวไทย
และที่สำคัญ ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นก็เชื่อมโยงไปถึงประเทศมหาอำนาจ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์อันมหาศาลในครั้งนี้อีกด้วย
นอกจากนี้ การเดินทางไปเยือนประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยเริ่มต้นที่ “บรูไน” ซึ่งก่อนหน้านี้อ้างว่าเป็นการเรียงตามลำดับตัวอักษร แต่ตามคำพูดของทักษิณที่บอกว่า มีผู้นำสองประเทศที่มีบุญคุณช่วยเหลือในยามยากจนนับถือกันเป็นพี่น้อง โดย “พี่ใหญ่” คือสุลต่านบรูไน, ทักษิณเป็น “พี่กลาง” ส่วนฮุนเซนเป็น “น้องเล็ก” จึงตั้งข้อสังเกตได้ไม่ยากว่า สาเหตุที่ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ต้องร่อนไปเยือนบรูไนนั้น แท้ที่จริงก็ไปในฐานะตัวแทนพี่ชาย ที่จำเป็นต้องไปเยี่ยมตอบแทนในฐานะที่เคยเกื้อหนุนกันมา อย่างนั้นใช่หรือไม่ บอกหน่อยได้ไหมคนสวยว่านี่ไม่ใช่ “วาระครอบครัว” หรือ “วาระส่วนตัว” ที่ต้องเดินสาย “ร่อน” เพื่อตอบแทนบุญคุณให้พี่ชาย ?
ส่วนการเยือนกัมพูชาก็ไม่ได้แตกต่างกัน นอกจากถูกสังคมจับตามองในเรื่องผลประโยชน์พลังงานในอ่าวไทยแล้ว ยังเป็นการเสริมศักยภาพความเป็นผู้นำให้กับ “ทักษิณ” ที่เป็นพี่ชายของนายกรัฐมนตรี เป็นลักษณะของการเดินทางไปเยือนที่เสมือนไป “เยี่ยมญาติ” ต่างตอบแทนอันเนื่องจาก “ฮุนเซน” มีความสนิทชิดเชื้อในเชิงผลประโยชน์ร่วมกันนั่นเอง
สำหรับเบื้องหลังการมอบเหรียญรางวัลเกียรติยศให้กับคณะบุคคล และนักโทษหนีคดีจากประเทศไทย ที่เดินทางไปเยือนกัมพูชาก็เช่นเดียวกัน เพราะตามรายงานระบุว่า “ได้กันทุกคน” ไล่เลียงลงมาตั้งแต่ “หัวโจก” นช.ทักษิณ นักโทษหนีคดีจากประเทศไทย ที่ต้องให้รางวัลตอบแทนต่อเนื่องย้อนหลังไปตั้งแต่เป็นนายกรัฐมนตรีมาตั้งแต่ปี 2544 รวมไปถึงลิ่วล้ออย่าง “นพดล ปัทมะ” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ บุคคลที่กระทำคุณงามความดีความชอบอันใหญ่หลวงให้ประเทศชาติ โดยการยอมลงนามในแถลงการณ์ร่วม “ไฟเขียว” ให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้เพียงฝ่ายเดียว!
นอกจากนี้ยังมีการประชุมและการปาฐกถาทางเศรษฐกิจที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าเป็นการประชุมว่าด้วยเรื่องทิศทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค ซึ่งก็มีการเชิญอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อย่าง “สุรเกียรติ์ เสถียรไทย” ในรัฐบาล ทักษิณ และเป็นคนที่ลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมไทย-กัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่ทับซ้อนในทะเล (เอ็มโอยู 2544) เขาก็ได้รับเชิญเข้าร่วมเป็นวิทยากรมาบรรยายทางวิชาการในครั้งนี้ด้วย
และที่เป็นอีกหนึ่ง “ไฮไลต์” สำคัญก็คือ การกระทำหยามหน้าประเทศไทยของ “นช.ทักษิณ” ที่ไปเป็นวิทยากรในการประชุมนานาชาติ ศตวรรษเอเชีย : โอกาสและความท้าทาย ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา โดยมีการประดับ “ธงชาติไทย” ไว้ตรงหน้าวิทยากร “นช.ทักษิณ” ทั้งๆ ที่เขาเป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดีจากประเทศไทย อย่างนี้ไม่เรียกว่า “หยามหน้า” จะให้เรียกว่ายังไงล่ะ “ฮุน-แม้ว” !?
สุดท้าย หากนำทุกเหตุการณ์มาเชื่อมโยงกันเป็นภาพใหญ่ ก็จะเห็นความโยงใยที่เกี่ยวร้อยกันในเรื่องผลประโยชน์มหาศาล จนทำให้ “สุลต่าน-ทักษิณ-ฮุนเซน และนพเหล่” ราวกับเป็นพี่น้องร่วมสาบานเหมือนดั่งในตำนาน “สามก๊ก” ที่มีพี่ใหญ่-เล่าปี่ พี่กลาง-กวนอู น้องเล็ก-เตียวหุย และขุนศึก-จูล่ง แต่ต่างกันตรงที่ นี่คือตำนาน “สามงก” ฉบับคนกันเอง ที่ไม่น่าเชื่อว่าศัตรูคู่อาฆาตอย่าง “ทักษิณ-ฮุนเซน” จากคนที่ “อยากฆ่า” กลับมา “สวมกอด” พร่ำพรอดรำพันรักกันปานจะกลืนกินถึงเพียงนี้
และทั้งหมดนี้เป็นเพียงปฐมบทของซีรีส์เรื่องยาว “มนต์รักอ่าวไทย” ที่ทุกคนต้องติดตามกันต่อไป และไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง !