ผ่าประเด็นร้อน
หลังจากเสร็จสิ้น “พิธีกรรมอำพราง” ของพรรคเพื่อไทย ส่ง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของ ทักษิณ ชินวัตร ลงสมัครระบบบัญชีรายชื่ออันดับหนึ่ง เพื่อชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนต่อไป กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากพรรคประชาธิปัตย์ คำแรกระหว่างการแถลงข่าวเปิดตัวสาระสำคัญที่เธอต้องการเน้นย้ำก็คือการ “ขอโอกาส” และอยากให้บ้านเมืองมีความ “สามัคคีปรองดอง” ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเมื่อฟังเผินๆแล้วเป็นคำพูดที่รื่นหูดูดี
แต่อีกด้านหนึ่งเมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวนด์ รวมไปถึงยุทธศาสตร์หลักของพรรคเพื่อไทยที่นำมาใช้ในการหาเสียงคราวนี้แล้วมันช่างขัดแย้งกันเองอยู่ในตัว เพราะสิ่งที่บรรดาแกนนำในพรรคเพื่อไทยเน้นย้ำอยู่เสมอก็คือ จะนำเรื่องการ “นิรโทษกรรม” ให้ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การหาเสียงของพรรค นั่นหมายความว่า หลังการเลือกตั้งหากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องเดินหน้านิรโทษกรรมให้พี่ชายเป็นอันดับต้นๆ
ใช้ตรรกะง่ายๆ ว่า ถ้าชนะเลือกตั้งนั่นก็หมายความว่า “ไม่มีความผิด” หรือถ้าชนะเลือกตั้งเข้ามาแล้ว คดีโกง คดีทุจริตก็เป็นอันยกเลิกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือไม่!?
นอกจากนี้ สิ่งที่นำมาอ้างอีกประเด็นหนึ่งหนึ่งก็คือ ทักษิณถูกกลั่นแกล้งจากคณะรัฐประหาร จากอำมาตย์ ซึ่งหากพิจารณาจากความจริงมันก็อาจมองอย่างนั้นก็ได้ แต่ที่ผ่านมาการดำเนินคดีกับเขาได้ผ่านขั้นตอนตามกระบวนการยุติธรรม มีการสู้คดีอย่างเปิดเผย มีการว่าจ้างทนายความ ซึ่งทักษิณ ก็ยอมรับ และกลับเข้ามาสู้คดีเมื่อครั้งที่พรรคพลังประชาชนได้เป็นรัฐบาล แต่หนีออกไปเมื่อเห็นท่าไม่ดีรู้ตัวว่าแพ้คดีต้อง “ติดคุกแน่”
คราวนี้ก็เช่นเดียวกัน ทักษิณ ก็คงมีความมั่นใจอีกครั้งว่า พรรคเพื่อไทยของตัวเอง และได้ทุ่มเทลงทุนอย่างเต็มที่หวังว่าจะชนะเลือกตั้งได้ยึดอำนาจรัฐกลับมาอยู่ในมืออีกเหมือนที่พรรคพลังประชาชนทำได้แน่นอน ถึงกับประกาศล่วงหน้าจะกลับประเทศไทยในราวเดือนพฤศจิกายน ซึ่งมันก็คงเป็นเช่นนั้นจริง ถ้า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม
นั่นอาจเป็นมุมมองของทักษิณและลิ่วล้อของเขา ที่ฝันหวาน แต่ในทางกลับกันจะมีคนไทยสักกี่คนที่ยอมรับวิธีการที่เอาเปรียบ ทำตัวเป็น “อภิสิทธิชน” เป็นพวกที่ “ยุติความเป็นธรรม” เหมือนอย่างที่เคยกล่าวหาคนอื่น จะมีกี่คนที่ยอมรับว่า การเลือกตั้งคือทุกสิ่ง เป็นการ “ฟอกขาว” ทุกเรื่อง และที่สำคัญคดีหากเขาทำได้ นั่นย่อมหมายความว่าคดีอาญาที่เป็นคดีคอรัปชั่นจะได้รับการยกเว้นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งสร้างความอัปยศอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
รับรองว่าหากเป็นแบบนั้นจริง บ้านเมืองจะ “ลุกเป็นไฟ” และคาดเดาได้เลยว่าเขาก็ต้องกระเด็นออกไปอีกรอบหรืออีกทางหนึ่งอาจจะฝังกลบอยู่ในประเทศนี้อย่างถาวรก็เป็นได้
อย่างไรก็ดี หากมองในแง่ดีการประกาศของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทันทีที่เป็นตัวแทนชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ว่าจะขอโอกาส และสร้างความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ มันก็อาจเป็นความตั้งใจจริงก็ได้ เพราะทำอย่างที่พูดได้ไม่ยาก เพียงแต่ยึดกฎหมาย ยึดเอาบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง และเคร่งครัด รวมไปถึงสรุปบทเรียนความผิดพลาดในอดีต โดยเฉพาะ การไม่ทุจริต และหากทักษิณ จะหลับมาก็ต้องถูกดำเนินคดี นั่นคือ ต้องเข้าคุก 2 ปี ตามที่ศาลได้ตัดสินเอาไว้ ส่วนคดีอาญาอื่นๆ ก็ว่ากันไปตามขั้นตอน ถ้าเป็นแบบนี้จริง นี่แหละถึงจะเรียกว่าสามัคคีปรองดองแท้จริง
ในทางตรงข้ามหากยังคิดดูถูกเหยียดหยามคนไทยว่าเป็นแค่ลูกจ้างในบริษัทชินวัตร อ้างว่าตัวเองผ่านการเลือกตั้ง แอบอ้างประชาชนว่ามอบสิทธิ์ขาดมาให้แล้วจะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจเหมือนในอดีต มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องเจอกับการลุกฮือกันครั้งใหญ่ และเชื่อว่าคราวนี้จะต้องเจอกับสหบาทาทุกสารทิศแน่นอน
ดังนั้น หากมองในทางบวกก็ได้แต่หวังว่าการเข้ามาขอโอกาสของยิ่งลักษณ์ ก็คงจะไม่ทำในสิ่งที่ผิดพลาดซ้ำซาก เข้าใจในความหมายของคำว่าสามัคคีปรองดองของแท้ว่าต้องทำอย่างไร รวมไปถึงต้องเข้าใจด้วยว่าสาเหตุที่เป็นอุปสรรคขัดขวางมาจากอะไร และหวังว่าการประกาศจะกลับเข้ามาประเทศไทยอีกครั้งของ ทักษิณ ชินวัตร ในเดือนพฤศจิกายนคงจะเป็นความจริง ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นก็คงพิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่พูดออกมานั้นมีการบิดเบือนอีกหรือไม่