“พล.อ.สมเจตน์” ชี้ ม.112 แค่เป้าหลอก รบ.ปู มุ่งแก้ รธน.ม.291 หวังรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ ควบคุมตุลาการ แทรกแซงองค์กรอิสระ ล้มล้าง รธน.เดิม รัฐประหารโดยอ้างประชาธิปไตย เซ็นเช็คเปล่าเปิดทางทุนสามานย์สูบกินผลประโยชน์ แจงเหตุปฏิวัติเพราะ “ทักษิณ” แทรกแซง แตกแยก โกงกิน หมิ่นเจ้า ถ้าปล่อยถึงตอนนีประเทศคงเหลือแต่กระดูก
พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา กล่าวในรายการ “คมชัดลึก” ทางเนชั่นแชนแนลว่า เรื่องการเสนอแก้ไขมาตรา 112 นั้น กฎหมายมาตรา 112 ไม่ได้มีข้อบกพร่องแต่อย่างใด ต้องมีเอาไว้พิทักษ์ปกป้องประมุขของประเทศ
กฎหมายคือกติกาของสังคม การกำหนดกฎหมายเพื่อให้คนไม่กระทำความผิด การเสนอให้แก้ไขมาตรา 112 จะทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์สถาบัน พระมหากษัตริย์ แล้วยังเสนอให้ไปลดโทษอีก เรื่องที่มีคดีความจากม.112 มากขึ้นเป็นเพียงปลายเหตุ เราต้องไปดูที่ต้นเหตุ
ต้นเหตุของปัญหานี้มาจากสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีการแทรกแซง แตกแยก โกงกิน หมิ่นเจ้า ทำให้เกิดการปฏิวัติ ในอดีตไม่มีคดีหมิ่นสถาบันฯ มากมาย แต่หลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณถูกปฏิวัติ มีคดีเกิดขึ้นมากมาย เพราะมีกลุ่มบุคคลที่เข้าใจว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงอยู่เบื้องหลังการทำรัฐประหาร กลุ่ม บุคคลเหล่านี้พยายามชักนำให้คนคิดอย่างนั้น แล้วก็มีความพยายามจะทำลายพระองค์ท่าน ทำให้เกิดมีผู้กระทำผิด ม.112 มากมาย
“พระเจ้าอยู่หัว ท่านได้ทำอะไรผิดพลาด ไม่ถูกต้องบ้าง เคยมีไหม ทำไมต้องถูกคนมาทำมิบังควรต่อพระองค์ท่าน”
พล.อ.สมเจตน์กล่าวว่า สถาบันหลักของชาติ ประกอบด้วย ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เป็นเรื่องของความมั่นคงของประเทศ เป็นเรื่องของ ประชาชน ถ้าใครพบเห็นผู้กระทำผิดก็สามารถร้องทุกข์กล่าวโทษได้ เพราะไม่ใช่เรื่องของบุคคลต่อบุคคล เรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเรื่องของ ความมั่นคง ใครก็ตามสามารถไปร้องทุกข์ได้ ตามกระบวนการยุติธรรมก็มีตำรวจ อัยการ ศาล ถ้าไม่ได้กระทำความผิด ไม่มีหลักฐาน ก็เอาโทษไม่ได้ ดังนั้นต้องแยกแยะ เรื่องสาธารณะกับเรื่องของบุคคล และที่เสนอให้สำนักพระราชวังดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษ ก็เชื่อว่าสำนักพระราชวังจะไม่มี การกล่าวโทษใคร คดีความก็จะไม่มีเกิดขึ้น จะมีการหมิ่นประมาทสถาบันฯ มากขึ้น สถาบันฯจะสั่นคลอนแน่นอน เรื่องนี้ต้องมองในเรื่องของความ มั่นคง
ตามกฎหมาย ม.112 แนวทางเดิมก็ไม่ได้เสียหายอะไร ต้องยอมรับกระบวนการยุติธรรมของเรา ส่วนการบังคับใช้กฎหมายก็ต้องไปดูที่จิตสำนึกของ คนทำหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม ให้มีความเป็นกลาง ยุติธรรมกับทุกฝ่าย ต้องไปแก้ตรงนั้น ถ้าเราไม่ยอมรับกติกาอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วจะสร้าง กติกาอย่างไรให้สังคมยอมรับ เช่น การเป็นประชาธิปไตยให้มี ส.ส.มาจากการเลือกตั้ง แต่ไม่ได้พูดเลยว่า คดโกงเข้ามา ซื้อเสียงเข้ามา แล้วพยายามพูด ว่าเป็นประชาธิปไตย ในกฎกติกาว่าไว้อย่างไร แสดงว่าเรายอมรับตรงนั้น ถ้ามีปัญหาอย่างไรก็ต้องไปแก้ปัญหาตรงนั้น ประชาชนไม่สามารถไป บังคับตำรวจได้ มีแต่ผู้มีอำนาจทางการเมือง ต้องไปแก้ที่ตรงนั้น ไม่ใช่มาแก้ ม.112 ถ้ามีคนพยายามมาสั่นคลอนแล้วสถาบันฯเป็นอะไรไป ประเทศ ชาติเราจะอยู่อย่างไร
ส่วนความเคลื่อนไหวกลุ่มเสนอแก้ไข ม.112 พล.อ.สมเจตน์กล่าวว่า ตนไม่เชื่อว่ามีความคิดบริสุทธิ์ การเสนอแก้ไข ม.112 เป็นเพียงบทแรกแค่นั้น สิ่ง ที่เขาพยายามดำเนินการมีความสำคัญ จะเปลี่ยนโครงสร้างประเทศได้ คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 จะทำให้ประเทศชาติเปลี่ยนแปลงไป การแก้มาตรา 291 คือการแก้ไขการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เหมือนเซ็นต์เช็คเปล่าให้เขาไป เมื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ออกมาโครงสร้างของประเทศอาจ เปลี่ยนแปลงไปเลยก็ได้ เพราะจะมีการแก้ทั้งกระบวนการ เรื่องของสถาบันฯ รวมถึงที่มาขององค์กรอิสระ อำนาจบริหารจะเข้าไปควบคุมอำนาจ ตุลาการได้ จะไม่มีการคานอำนาจกัน คนที่มาจากการเมืองจะกำหนดทิศทางของประเทศได้หมด และไม่แน่ใจว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างไร
“ตอนนี้คนมีเงินเท่านั้นที่เข้ามาบริหารประเทศได้ เป็นทุนสามานย์ มีเงินทุนก็ยึดครองประเทศ โดยชนชั้นกลาง เกษตรกร ล้วนเป็นเครื่องมือของเขาทั้งสิ้น กลุ่มที่เสนอแก้กฎหมายไม่ได้บอกว่าเขารับเงิน แต่ตกเป็นเครื่องมือของทุนสามานย์”
พล.อ.สมเจตน์กล่าวว่า รัฐบาลจะไม่แก้ไขกฎหมายมาตรา 112 แต่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เพราะมันเบ็ดเสร็จ สามารถแก้สิ่งที่เป็นอุปสรรค ของเขา เขาจะดำเนินการได้หมด ในสมัยรัฐบาลทักษิณ ใช้ช่องว่างของรัฐธรรมนูญ 2540 เข้าไปครอบงำองค์กรอิสระ สมาชิกวุฒิสภาที่เลือกตั้งครั้งแรกในปี 2543 ชุดแรกเข้ามาก็ดี พอระยะเวลาเปลี่ยนไป พ.ต.ท.ทักษิณขึ้นมา ส.ว.ชุดนี้ถูกเปลี่ยนไป มี ส.ว.ในเครือข่ายของรัฐบาล ควบคุมเสียงได้ มีการแทรกแซง ส.ว. การเลือกองค์กรอิสระต่างๆ ถูกครอบงำ เขามองว่าองค์กรอิสระที่เป็นอุปสรรคกับเขา อย่างศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาถอดถอน เรื่องคดีซุกหุ้น เขาเห็นว่าองค์กรอิสระเป็นอุปสรรค ก็แทรกแซงเข้าไปควบคุมไว้ โดยใช้เครือข่าย ส.ว.ที่เขาคุมได้ การแก้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะย้อน ไปสู่สิ่งที่เคยใช้ช่องว่างของรัฐธรรมนูญ 2540 ได้
สำหรับรัฐธรรมนูญ 2550 ร่างขึ้นมาเพื่อแก้ไขจุดอ่อนของรัฐธรรมนูญ 2540 ร่างเพื่อเป็นกฎกติกาในการบริหารประเทศ มีการกำหนดมาตรา 291 ไว้ ในกรณีที่รัฐธรรมนูญมีปัญหา ก็แก้ไขได้ตามกระบวนการที่ม.291 กำหนดไว้ แต่ถ้ารัฐบาลจะแก้ไขตัวมาตรา 291 เลย เพื่อจะตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ส.ส.ร.ขึ้นมา และร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมา ก็ถือเป็นการปฏิวัตินั่นเอง เป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญ โดยเสียงข้างมาก ถ้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามกระบวนการเดิม ให้เสนอโดยสมาชิก โดยประชาชนแก้ไขได้เป็นมาตราๆไป
“การเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์ ถ้านักการเมืองมองผลประโยชน์ของตัวเอง ประเทศชาติก็เสียหาย ถ้ามองประโยชน์ส่วนรวมประเทศชาติก็ พัฒนาก้าวหน้าขึ้น”
พล.อ.สมเจตน์กล่าวว่า เขาจะแก้มาตรา 291 ตั้งสสร.ใหม่ คือการล้มล้างรัฐธรรมนูญ โดยประชาธิปไตยเสียงข้างมาก ถ้าแก้ไขมาตรา 291 ได้สำเร็จ คือ การเปลี่ยนโครงสร้างประเทศใหม่ สถาบันฯจะอยู่ยาก จะมีการแก้หมวดพระมหากษัตริย์อย่างแน่นอน เพราะถูกเริ่มมาตั้งแต่ม.112 จะนำความคิดตรง นั้นมาแก้ตรงนี้ เรื่ององค์กรอิสระ จะมีอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ เข้ามาแทรกแซงในกระบวนการเลือกองค์กรอิสระ และถูกแทรกแซงได้ง่าย ศาลต่างๆ จะต้องมาผ่านอำนาจทางนิติบัญญัติ ในที่สุดจะคานอำนาจกันไม่ได้ ในอดีตอำนาจนิติบัญญัติคานอำนาจกับการบริหาร ขณะนี้อำนาจ นิติบัญญัติและอำนาจบริหารเป็นเนื้อเดียวกัน มีเพียงอำนาจตุลาการที่ยังอิสระอยู่ แต่เมื่อใดถ้าครอบครองตรงนี้ได้ แล้วก็อ้างว่ากระบวนการทั้งหมด ถูกสร้างความชอบธรรม บอกว่ามาจากเลือกตั้ง ต้องยอมรับการเลือกตั้ง แต่ไม่เคยสนใจว่าวิธีการที่มานั้นถูกต้องหรือเปล่า
วิธีการที่จะขจัดปัญหาอุปสรรคของเขา คือ เข้าครอบงำทั้งหมด เป็นวิธีบริหารแบบนายทุน รัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ไม่ใช่รัฐบาล แต่เป็นบริษัท ประเทศไทยไม่จำกัด เป็นบริษัทลูกของบริษัทกลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง มีการส่งกรรมการจากบริษัทแม่มาอยู่ในบริษัทลูกมาเป็นรัฐมนตรี รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ต่างจากการบริหารแบบบริษัท มีการส่งคนจากบริษัทแม่ เข้ามาดูแล เข้ามาทำเพื่อเจ้าของบริษัทแม่ ทำเพื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ มุ่งแต่จะแก้ปัญหาให้คนคนเดียว ในที่สุดจะกินประเทศไทยอย่างมโหฬาร
สำหรับเรื่องข่าวการรัฐประหาร การรัฐประหารจะต้องมีมูลเหตุ 2 ประการ คือ ประการแรกเกิดจากความแตกแยกของรัฐบาลภายใน ประการที่สอง มาจากประชาชนไม่พอใจการบริหารประเทศของรัฐบาล แต่ไม่สามารถพึ่งพาระบอบประชาธิปไตย หรือฝ่ายค้านได้ ก็จะมองมาที่อำนาจนอกระบอบ ประชาธิปไตยก็ปฏิวัติ ตอนนี้มีมูลเหตุ คือ ประชาชนเดือดร้อนเรื่องค่าครองชีพ เดือดร้อนจากอุทกภัย การเยียวยา 5,000 บาท ไม่ได้ลดความทุกข์ร้อน ของประชาชน บางคนถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัว เกิดความรู้สึกไม่พอใจ คนที่เสียภาษีก็ไม่พอใจที่เอาเงินไปอุดหนุนคนเผาบ้านเผาเมือง แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงจุดที่สุด การปฏิวัติจะเกิดขึ้นมาจากประชาชนไม่พอใจรัฐบาลอย่างแรง ตนมองว่าตอนนี้โอกาสที่จะเกิดการปฏิวัติน้อยมาก แต่ที่อีกฝ่ายออก มาพูด ออกมากุข่าว เพื่อกลบข่าว กลบความทุกข์ยากของประชาชน กลบความไม่พอใจของประชาชนให้ลืมๆเสีย การปลุกคนให้ออกมาต่อต้านการ ปฏิวัติเพื่อกลบข่าวอื่น เป้าหมายหลักของเขา คือ การแก้รัฐธรรมนูญ เป็นการแก้ปัญหาแบบเบ็ดเสร็จให้ พ.ต.ท.ทักษิณในทุกมิติ ถึงตอนนั้นประเทศ ไทยก็สิ้นชาติ
พล.อ.สมเจตน์กล่าวว่า โดยสรุปคือ เรื่อง ม.112 ไม่จำเป็นไปแตะต้อง เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ต้องคิดให้ชัดเจนว่ามีมาตราใดที่ไม่ดี บกพร่อง อย่างไร แล้วใช้วิธีการแก้ไขตาม ม.291 แต่ไม่ใช่ไปแก้ ม.291 เพราะเป็นการแก้ไขหัวใจของรัฐธรรมนูญ 2550 เป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญ และสถานการณ์ขณะนี้การปฏิวัติรัฐประหารไม่เกิดขึ้นแน่นอน ไม่น่าจะเป็นทางออกของประเทศ วิธีการที่จะป้องกันการรัฐประหารได้ดีที่สุด คือ นักการเมือง พฤติกรรม และจิตสำนึก จะเป็นยาสำคัญที่จะป้องกันการปฏิวัติ ถ้าไม่ต้องการให้ประเทศถอยหลัง นักการเมืองต้องแก้ที่จิตสำนึกของตัวเอง ต้องมองประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชนมากกว่าประโยชน์ส่วนตน หรือพรรคพวก เช่น บางคนอยู่เฉยๆ ก็ร่ำรวยขึ้นมา ไม่พอใจอะไรก็ เผาบ้านเผาเมือง แล้วขึ้นมามีความสุขบนซากของความเสียหาย มีจิตสำนึกที่เห็นแก่ตัว สามารถทำลายทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์
การรัฐประการในปี 2549 ตอนนั้น อาจมีการมองการเมืองไทยพลาดไป ไม่ได้คิดว่านักการเมืองจะทำลายประเทศชาติได้ถึงขนาดนี้ ทหารในขณะนั้นคงคิดว่าเข้ามายุติเรื่องชั่วคราว แยกคนสองกลุ่มไม่ให้ปะทะกัน มีการกำหนดรัฐธรรมนูญขึ้นมา กำหนดระยะเวลาชัดเจน จัดให้มีการเลือกตั้ง แล้วส่ง มอบประชาธิปไตยคืน ซึ่งทำด้วยเจตนาดี ผลจากการปฏิวัติอันหนึ่ง ถ้าตอนนั้นไม่ปฏิวัติ เราจะไม่รู้ฤทธิ์เดชว่าพ.ต.ท.ทักษิณทำต่อประเทศได้ขนาดนี้ เชียวหรือ และมาถึงตอนนี้ไม่รู้ว่า ประเทศชาติจะเหลือแต่กระดูกหรือเปล่า ถ้าไม่ปฏิวัติตอนนั้น ตอนนี้ประเทศชาติจะเป็นอย่างไร