xs
xsm
sm
md
lg

“กรณ์” เย้ยทีม ศก.เหลว ชี้แปรรูป ปตท.เป็นบริษัทหวังให้กลุ่มทุนผูกขาด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กรณ์ จาติกวณิช
อดีต รมว.คลัง เย้ย ปูโละทีมเศรษฐกิจ 4 เดือนยกชุด สะท้อนความล้มเหลว แฉ “ธีระชัย” ถูกเขี่ยพ้นเก้าอี้เพราะขัดผลประโยชน์กองสลาก วางอดีตซีอีโอชินวัตรนั่งพลังงานตามใบสั่งนายใหญ่มากกว่ากระแสสังคม อัดแนวคิดแปร ปตท.เป็นเอกชน หวังให้ทุนครอบงำธุรกิจผูกขาด จับตาทุจริตเชิงนโยบายใช้อำนาจรัฐเอื้อ ปตท.วอนหยุดให้ข่าวปั่นราคาหุ้น หวั่นเข้าแผน “ทักษิณ” ชักใยงาบธุรกิจพลังงาน

วันนี้ (18 ม.ค.) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีต รมว.คลัง กล่าวถึงการปรับ ครม.ตำแหน่งหลักในทีมเศรษฐกิจ ว่า รัฐบาลยอมรับว่า 4 เดือนที่ผ่านมา ไม่ประสบความสำเร็จในการบริหารและแก้ปัญหาบ้านเมืองในด้านเศรษฐกิจ เพราะตำแหน่งสำคัญทางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงหมด ในส่วนของ รมว.คลัง ที่ถูกปรับออกไป คงมีหลายเรื่อง นอกจากการขัดแย้งในเชิงนโยบายแล้ว ยังมีกระแสข่าวเรื่องผลประโยชน์ที่เกี่ยวกับกองสลากด้วย โดยมีการพูดในวงการว่ามีประเด็นนี้เกี่ยวข้อง ซึ่งตนคิดว่าการแก้ปัญหาควรสานต่อแนวทางของรัฐบาลที่แล้ว คือ ตัดพ่อค้าคนกลางออกขายสลากตรงให้กับประชาชนก็จะตัดปัญหาเรื่องส่วนต่างราคาและโควตา ถ้ารัฐบาลจริงใจกับการแก้ปัญหานี้ก็ควรเดินตามแนวทางนี้ โดยตำแหน่งสำคัญในกองสลากก็มีการปรับเปลี่ยน มีการลาออกกลางคัน ซึ่งไม่ปกติสอดรับกับข่าวที่ปรากฎในเรื่องของผลประโยชน์ขัดกัน

นายกรณ์ กล่าวอีกว่า ที่ปรากฏชัด คือ ความขัดแย้งเรื่องแนวคิดการโอนหนี้สาธารณะไปเป็นภาระของ ธปท.ซึ่ง นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง ได้แสดงการปกป้อง ธปท.ในทางที่ถูกต้อง เพราะไม่ควรมีการนำเงินสำรองประเทศมาชำระหนี้ของรัฐบาล แต่เมื่อแนวคิดขัดแย้งกับรองนายกฯด้านเศรษฐกิจจึงถูกปรับออก โดยให้ นายกิตติรัตน์ มาดูแลแทน ซึ่งเท่ากับปรับตัวเองออกจากกระทรวงพาณิชย์ สะท้อนถึงความล้มเหลวในการทำงานในฐานะ รมว.พาณิชย์ เพราะการดูแลสินค้าค่าครองชีพเหมือนไม่ได้ให้ความสนใจ ในขณะที่ราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ และที่เลวร้ายที่สุดคือนโยบายข้าว ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของนายกิตติรัตน์ โดยตรง และอ้างมาตลอดว่านโยบายจำนำข้าวจะไม่สร้างความเสียหายให้กับประเทศ แต่เป็นนโยบายดึงราคาข้าวในตลาดโลกขึ้นมาในระดับเดียวกับกับราคาจำนำของรัฐบาล ซึ่งในวันนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะราคาตลาดเมื่อเทียบกับราคาที่รัฐบาลตั้งโต๊ะรับซื้อจากชาวนาต่างกันถึงตันละ 5 พันบาท เป็นการขาดทุนที่รอปรากฎผลเมื่อรัฐบาลขายข้าวในสต๊อก อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อความสามารถในการส่งออกข้าวของประเทศด้วย

นายกรณ์ กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงตัว รมว.พลังงาน ว่า เป็นอีกกระทรวงหนึ่งที่ล้มเหลวสิ้นเชิงในนโยบาย ซึ่งเชื่อว่า ประชาชนมีคำถามว่านายกฯ เคยหาเสียงจะกระชากค่าครองชีพด้วยการยกเลิกกองทุนน้ำมัน สุดท้ายทำไมไม่ยกเลิก และยังเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมเข้ากองทุนน้ำเพื่อชดเชยหนี้กว่าหมื่นล้านบาทที่รัฐบาลก่อขึ้นมา ซึ่งหากดูจากน้ำมันดีเซลก็จะเห็นชัดเจนว่าแพงกว่ารัฐบาลที่แล้ว และหนี้ของกองทุนน้ำมันก็เพิ่มขึ้นมาหมื่นกว่าล้านบาท ขณะที่รัฐบาลชุดที่แล้วดูแลราคาดีเซลไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าได้โดยที่กองทุนน้ำมันยังเป็นบวก ซึ่งตนคิดว่าควรมีการเปลี่ยนแปลงตัวรัฐมนตรีถูกต้องแล้ว ส่วนกระทรวงอุตสาหกรรมก็มีปัญหาในเรื่องนิคมอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ซึ่งความจริงจะโยนความรับผิดชอบให้รมว.อุตสาหกรรม เพียงลำพังไม่ได้ เพราะการบริหารผิดพลาดเกิดจากรัฐบาล ทั้งนี้ ส่วนตัวยังเห็นว่านพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล มีความเป็นมืออาชีพในการทำงานจากที่เคยทำงานร่วมกันกว่า 2 ปี ในช่วงที่เป็นรัฐบาล

ผู้สื่อข่าวถามว่า การนำอดีตซีอีโอ บริษัทชินวัตรมาดูแลกระทรวงพลังงาน จะทำให้การบริหารประเทศถูกแปรสภาพเหมือนการบริหารบริษัทหรือไม่ นายกรณ์ กล่าวว่า ไม่ใช่บริษัทธรรมดาด้วย แต่เป็นบริษัทครอบครัวของตนเอง ตนคิดว่า ต้องดูอย่างใกล้ชิด เพราะการคัดสรรคนกลุ่มนี้เข้ามาต้องเข้าใจว่าเขาไม่ใช่คนของประชาชน และไม่ต้องพึ่งพาคะแนนเสียงากประชาชน ตรงกันข้ามเขาต้องพึ่งพากำลังสนับสนุนของคนคนเดียวที่เป็นนายจ้าง เพราะฉะนั้นก็ต้องถามว่าเขาจะทำงานเพื่อใคร ระหว่างประชาชนกับนายจ้าง ซึ่งเขาต้องทำงานเพื่อเจ้านายที่แต่งตั้งเขา ไม่ได้ทำงานให้กับประชาชนที่เป็นผู้ตั้งรัฐมนตรีทางอ้อม

ต่อข้อถามว่า การบริหารลักษณะนี้จะทำให้กลับสู่ยุคการเมืองใช้อำนาจกำหนดกติกาให้ทุนเข้ามากินรวบประเทศไทยหรือไม่ นายกรณ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ก็เคยตั้งข้อสังเกตในหลายนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ว่ามักเลือกตัดสินใจในสิ่งที่เป็นคุณต่อนายทุน แทนที่จะเอาประโยชน์ประชาชนเป็นตัวตั้ง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายพลังงาน นโยบายภาษีที่มีการลดภาษีนิติบุคคล ซึ่งก็ล้วนแต่เป็นการเลือกทำเพื่อผลประโยชน์ของนายทุนทั้งสิ้น เรื่องที่ควรทำเพื่อสร้างความเสมอภาคในโอกาสทางเศรษฐกิจ เช่น การผลักดันภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รัฐบาลกลับยกเลิก เป็นสิ่งที่ประชาชนต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ เห็นว่า การที่รัฐบาลดูหมกมุ่นกับ ปตท.เป็นพิเศษ โดยเฉพาะกรณีล่าสุดที่มีแนวคิดที่จะนำกองทุนวายุภักษ์ไปซื้อหุ้น ปตท.2 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้ขาดจากการเป็นรัฐวิสาหกิจนั้น ถือเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง เพราะเป็นการส่งสัญญาณว่าการครอบงำโดยผู้มีกำลังทุนจะเกิดขึ้นได้ง่าย เพราะสามารถฮุบซื้อหุ้นมาเป็นของตัวเองได้ ตนขอย้ำว่าเป็นเรื่องที่อันตรายมาก

“ปตท.เป็นบริษัทที่มีอำนาจผูกขาดทางการตลาดด้านพลังงาน เพราะถูกออกแบบมาให้เป็นรัฐวิสาหกิจที่ยังต้องดูแลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก แต่ถ้าปรับเปลี่ยนให้เป็นเอกชนรายไหนมาซื้อก็ได้ จะเป็นอันตรายมาก และเป็นประเด็นที่ต้องตอบคำถามกับสาธารณชน ว่า ทำไปเพื่ออะไร เหตุผลที่รัฐบาลให้ คือ ต้องการลดหนี้สาธารณะ เพื่อกู้เงินเพิ่ม ผมก็ถามว่าจะกู้ไปทำอะไรอีกมากมาย เพราะปัจจุบันหนี้สาธารณะเทียบจีดีพี ประมาณ 41 เปอร์เซ็นต์ กรอบวินัยทางการคลังกำหนดให้กู้ได้ 60 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี หมายความว่า ยังมีช่องว่างอีก 20 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 2 ล้านล้านบาท ที่กู้ได้ ทำไมต้องกู้มากกว่านี้ หรือเพียงแค่ใช้เป็นข้ออ้างเพื่อเปิดช่องทางสู่การเข้ามาเป็นเจ้าของปตท.ด้วยตนเอง” นายกรณ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า หาก ปตท.กลายเป็นเอกชนจะกระทบต่อประชาชนอย่างไร อดีต รมว.คลัง กล่าวว่า ทุกบ้าน ทุกครัวเรือน ต้องใช้สินค้าจากปตท.ทั้งก๊าซและน้ำมันหรือแม้กระทั่งไฟฟ้า ผู้ผลิตก็ต้องซื้อก๊าซจาก ปตท.เพราะฉะนั้นหาก ปตท.เป็นเอกชนเต็มรูปแบบจะมีผลต่อค่าครองชีพและวิถีชีวิตของประชาชนทุกคนที่ต้องจ่ายแพงขึ้น และเห็นว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับนโยบายพลังงานตั้งแต่การปรับโครงสร้างพลังงานโดยอ้างกลไกตลาดสอดรับกับสิ่งที่มีความพยายามจะทำให้ ปตท.เป็นเอกชน ทุกอย่างสอดคล้องกัน เพราะการปรับโครงสร้างพลังงานส่งผลต่อกำไรของ ปตท.โดยตรง เป็นการเปิดโอกาสให้ ปตท.ทำกำไรได้เต็มที่ ซึ่งในกรณีที่รัฐบาลยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ก็แย่พอแล้ว เพราะต้องแบ่งกำไรให้กับเอกชนเกือบครึ่งหนึ่ง แต่เมื่อเอกชนกลับมาถือหุ้นใหญ่ ก็จะยิ่งเป็นปัญหาของประชาชนในฐานะผู้บริโภค ถือว่าเป็นผู้ที่ต้องรับเคราะห์ ซึ่งเรื่องนี้ต้องทบทวนหลายประเด็น ถ้าให้ ปตท.เป็นเอกชนเต็มตัวจะทำอย่างไรกับอำนาจผูกขาดที่มี และจะเอาคืนให้กับรัฐได้อย่างไร

“ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก เพราะทุกอย่างสัมพันธ์กัน ทั้งการผลักดันให้มีการร่วมลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งปรากฏเงา คุณทักษิณ ชินวัตร ชัดเจนในการเจรจาระหว่างรัฐต่อรัฐกับสองรัฐบาล ที่ยังไม่มีความเป็นประชาธิปไตยเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นมุบมิบทำอะไรกันอยู่ ผลประโยชน์จะเป็นของใครเป็นเรื่องที่น่ากังวลและเราจับตาอยู่อย่างใกล้ชิด” อดีต รมว.คลัง กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องนี้สามารถเทียบเคียงกับการทุจริตเชิงนโยบายในการแปรสัมปทานโทรศัพท์มือถือเป็นภาษีสรรพสามิตได้หรือไม่ นายกรณ์ กล่าวว่า การทุจริตเชิงนโยบายอาจจะยังไม่ปรากฏชัด เพราะถ้าเทียบกับเรื่องนี้การแปรสัญญาสัมปทาน มีผลโดยตรงต่อบริษัทที่ครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ ถือหุ้นอยู่ ในกรณีนี้ถ้าพิสูจน์ได้ว่า ณ ปัจจุบันหรือในอนาคต เครือข่ายของผู้เป็นรัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นใน ปตท.ก็เข้าข่ายทุจริตเชิงนโยบายเช่นกัน ทั้งนี้ ยังเตือนนายกิตติรัตน์ ให้ระวังการพูดนโยบายที่จะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เช่นกรณีออกมาขานรับแนวคิดของ นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธาน กยอ.ในการที่จะซื้อหุ้นของปตท.เพราะมีผลต่อราคาหุ้น ซึ่ง นายกิตติรัตน์ เป็นผู้เข้าใจในตลาดทุนหากยึดหลักธรรมาภิบาลที่ดีก็ต้องสงวนท่าทีจนกว่าจะมีความชัดเจนและพูดครั้งเดียวให้ทุกคนได้รับข้อมูลพร้อมกัน ไม่เช่นนั้นจะสร้างความสับสน และทำให้ความเชื่อมั่นในตลาดทุนลดลง

ต่อข้อถามว่า ยุคการปั่นราคาหุ้นโดยนโยบายรัฐบาลกำลังกลับมาอีกครั้งหรือไม่ นายกรณ์ กล่าวว่า ยังไม่อยากใช้คำนั้น แต่ย้ำว่าต้องระวังเพิ่มขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น