“พลังงาน” เป่านกหวีด 24.00 น.คืนนี้ ปรับโครงสร้างพลังงานครั้งใหญ่ “เอ็นจีวี” ปรับขึ้น 50 สตางค์ “แอลพีจี” ปรับขึ้น 45 สตางค์ “เบนซิน-แก๊สโซฮอล์” ปรับขึ้น 1.07 บาท และดีเซล ปรับขึ้น 64 สตางค์ สั่งปั๊มอัดสำรองเต็มพิกัด รองรับ ปชช.แห่เติม “อนุสรณ์” แนะจับตา “ดีเซล” มีโอกาสแตะ 38 บาท หากรัฐเดินหน้าเก็บภาษี ขณะที่ ปชช.ส่วนใหญ่ยังไม่ทราบข่าว
มีรายงานข่าวว่า หลังเวลา 24.00 คืนนี้ (15 ม.ค.) กระทรวงพลังงานจะมีการปรับโครงสร้างราคาพลังงานครั้งใหญ่ จะมีผลทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) ปรับขึ้นราคาเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ประเทศไทยส่งเสริมการใช้ในช่วง 9-10 ปีที่ผ่านมา โดยราคาเอ็นจีวีจะปรับขึ้น 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม หรือขึ้นราคาเป็น 9 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนราคาก๊าซแอลพีจีสำหรับยานยนต์ปรับขึ้น 41 สตางค์ต่อลิตร หรือ 75 สตางค์ต่อกิโลกรัม และราคาเบนซิน-แก๊ซโซฮอล์ปรับขึ้น 1.07 บาทต่อลิตร ดีเซลราคาเพิ่มขึ้น 64 สตางค์ต่อลิตร โดยการปรับโครงสร้างราคาพลังงานเป็นไปตามนโยบายการสะท้อนต้นทุนราคาพลังงาน และสร้างความเป็นธรรม ลดการอุดหนุนราคาของผู้ใช้น้ำมันที่เข้ามาอุดหนุนราคาก๊าซ
นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวระหว่างการพาสื่อมวลชนตรวจสอบต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติและราคาแอลพีจี ที่โรงแยกก๊าซบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และโรงกลั่นน้ำมันบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) โดยระบุว่า การปรับโครงสร้างราคาดังกล่าว เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งจากการที่เครือข่ายผู้บริโภคมีการฟ้องร้องต่อศาลปกครองเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เพื่อขอให้คุ้มครองฉุกเฉินไม่ให้มีการปรับขึ้นราคาพลังงานนั้น ทางศาลปกครองมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องไปชี้แจงข้อมูลในช่วงบ่ายพรุ่งนี้ ส่วนศาลจะมีคำสั่งอย่างไรก็ขึ้นกับดุลยพินิจของศาล ทางหน่วยราชการพร้อมปฏิบัติตาม
นายสุเทพ กล่าวว่า ในส่วนการจัดเก็บเงินกองทุนน้ำมัน รัฐบาลชุดนี้มีการยกเว้นการจัดเก็บตามนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาเมื่อ 26 สิงหาคม 2554 โดยยกเว้นเก็บภาษีสำหรับน้ำมันเบนซินและดีเซล ทำให้การจัดเก็บเท่ากับ 0 จากที่ช่วงนั้นจัดเก็บภาษีสำหรับน้ำมันเบนซิน 95 ในอัตรา 7.50 บาทต่อลิตร เบนซิน 91 เก็บในอัตรา 6.70 บาทต่อลิตร และดีเซลเก็บในอัตรา 2.80 บาทต่อลิตร ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศว่าจะทยอยเก็บเพื่อนำเงินมารักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน จึงจะเริ่มจัดเก็บตั้งแต่วันพรุ่งนี้
ขณะที่ราคาแอลพีจีและเอ็นจีวีที่ปรับเพิ่ม ก็เป็นที่ทราบดีว่า ต้นทุนราคาจำหน่ายถูกกว่าต้นทุนที่แท้จริง โดยแอลพีจีราคาควบคุมอยู่ที่ 333 ดอลลาร์ต่อตัน หรือ 10.43 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อรวมภาษีสรรพสามิต ภาษีอื่นๆ เงินกองทุนน้ำมัน ค่าการตลาด ราคาขายปลีกจึงอยู่ที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ราคาต้นทุนหน้าโรงแยกก๊าซอยู่ที่ 450 ดอลลาร์ต่อตัน หรือ 14.10 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อบวกภาษีต่างๆแล้ว ราคาขายปลีกควรอยู่ที่ 21.80 บาทต่อกิโลกรัม
ด้านต้นทุนหน้าโรงกลั่นอยู่ที่ 744 ดอลลาร์ต่อต้น หรือประมาณ 23.33 บาทต่อกิโลกรัม รัฐต้องชดเชยประมาณ 411 ดอลลาร์ต่อตัน หรือประมาณ 12.88 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนต้นทุนนำเข้าอยู่ที่ 934 ดอลลาร์ต่อตัน หรือ 29.28 บาทต่อกิโลกรัม กองทุนน้ำมันชดเชยประมาณ 601 ดอลลาร์ต่อตัน หรือ 19.22 บาทต่อกิโลกรัม ดังนั้น แม้จะมีการปรับขึ้น ราคาก็ยังต่ำกว่าราคาต้นทุน เช่นเดียวกับก๊าซเอ็นจีวี ที่ทางสถาบันปิโตรเลียมคำนวณเบื้องต้นว่า ราคาต้นทุนอยู่ที่ 15-16 บาทต่อกิโลกรัม จึงมีความจำเป็นต้องขยับราคาขึ้นดังกล่าว
ด้าน นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ราคาน้ำมันจะทยอยปรับขึ้นตามต้นทุนตลาดโลก และในช่วงหน้าหนาวราคาน้ำมันดีเซลก็จะแพงอยู่แล้ว จึงไม่เห็นด้วยกับที่รัฐบาลจะเข้ามาเก็บภาษีดีเซล ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 ที่จะถึงนี้ จากที่ปัจจุบันยกเว้นการเก็บ โดยควรเลื่อนไปไตรมาส 2 ที่เป็นช่วงขาลงของดีเซล
อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลจะเก็บก็น่าจะทยอยจัดเก็บ เพราะหากเก็บ 5 บาทต่อลิตร ประชาชนจะเดือดร้อนอย่างหนัก แต่รัฐบาลคงต้องคำนึงถึงรายได้ที่จะหายไป 9,000 ล้านบาทต่อเดือน จากการสูญเสียภาษี ซึ่งคาดว่า ดีเซลปีนี้ระดับราคาจะเห็นที่ 32 บาทต่อลิตร หากรัฐบาลยังไม่มีการกลับไปเก็บภาษี แต่หากเก็บภาษีเต็มที่แล้ว ราคามีโอกาสจะเห็น 38 บาทต่อลิตร
ด้าน นายสมนึก บำรุงสาลี รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า ได้ขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันในการบริหารจัดการการจำหน่ายน้ำมันให้เพียงพอ เพราะคาดว่า จะมีประชาชนไปเติมน้ำมันจำนวนมากในวันนี้ ก่อนจะมีการปรับราคาก่อนเที่ยงคืนวันนี้ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า จะไม่มีปัญหาขาดแคลน เพราะเป็นการทยอยปรับขึ้นราคา และถือว่าเป็นการปรับขึ้นน้อยมาก
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ประชาชนผู้มาเติมปั๊มน้ำมันที่ปั๊ม ปตท.สำนักงานใหญ่ ถนนวิภาวดีรังสิต พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 90 ไม่ทราบข่าวการที่ราคาเอ็นจีวี แอลพีจี น้ำมันจะปรับขึ้นในวันพรุ่งนี้ และส่วนใหญ่ระบุว่ามาเติมน้ำมันปกติ มีเพียงส่วนน้อยที่ระบุว่าพอทราบข่าวมาบ้างก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ยอมรับได้ในการปรับราคาขึ้น เพราะก่อนหน้านี้รัฐบาลได้อุดหนุนราคาพลังงานมานานแล้ว พร้อมสนับสนุนหากรัฐบาลจะมีมาตรการสนับสนุนการใช้แก๊สโซฮอล์
และจากการสำรวจปั๊มก๊าซเอ็นจีวีและแอลพีจี ย่านถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งมีรถตู้ รถเก๋ง มาใช้บริการเติมแก๊ส พบว่า ส่วนใหญ่มาเติมแก๊สเมื่อแก๊สใกล้หมด และทราบข่าวการปรับราคาที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยไม่ได้แตกตื่นกับการปรับราคาดังกล่าว ทั้งนี้ ยอมรับกับการปรับขึ้นราคา เนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่น หรือทางเลี่ยงอื่นๆ ในการใช้เชื้อเพลิง