“มาร์ค” สับรัฐอย่าเห็นฐานะการเงิน ปตท.สำคัญกว่าประเทศ จี้ นายกฯ-สมช.แก้ปัญหา หลังมะกันเตือนย้ำเฝ้าระวังก่อการร้ายข้าวสาร กระทบชื่อเสียงประเทศ ถ้ายืดเยื้อยิ่งกระทบท่องเที่ยวแน่ แนะ กต.ประสานทูตสหรัฐฯ ใกล้ชิด
วันนี้ (18 ม.ค.) ที่รัฐสภา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) เสนอให้รัฐบาลนำเงินจากกองทุนวายุภักษ์ ไปซื้อหุ้น ปตท.2 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้ขาดจากการเป็นรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะเป็นการลดปริมาณหนี้สาธารณะภาครัฐลงว่า รัฐบาลน่าจะเอาประชาชนเป็นตัวตั้ง ปัญหาระบบพลังงานขณะนี้ คือ เรามีรัฐวิสาหกิจที่แปรสภาพ และมีการอ้างความจำเป็นที่จะตอบสนองผู้ถือหุ้นซึ่งครึ่งหนึ่งไม่ใช่รัฐ ในขณะที่หน่วยงานนี้ยังเป็นเครื่องมือในเชิงนโยบายของรัฐบาลได้ และยังมีปัญหาผูกขาดหลายส่วน นี่คือ โจทย์ใหญ่ แต่รัฐบาลตั้งโจทย์ว่า จะแต่งตัวเลขหนี้สาธารณะเพื่อให้รัฐบาลมีเงินมาใช้มากๆ ซึ่งหากมีการทำให้ ปตท.ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ ให้ ปตท.อยู่ภายใต้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า และต้องมีการดำเนินการตามกฎหมายนี้ ว่า ปตท.มีอำนาจเหนือตลาดมากแค่ไหน และกำหนดมาตรการดูแลควบคุม เพราะ ปตท.ได้ประโยชน์จากการเป็นรัฐวิสาหกิจในหลายประการ และจึงต้องมีวิธีการคืนความเป็นธรรมให้กับประชาชนในสิ่งที่ ปตท.ได้ประโยชน์จากการเป็นรัฐวิสาหกิจผูกขาด ดังนั้น รัฐบาลอย่าเห็นฐานะทางการเงินของ ปตท.สำคัญกว่าฐานะทางการเงินของประเทศ
นายอภิสิทธิ์ ยังแสดงความเป็นห่วงกรณีที่ล่าสุด ทูตสหรัฐฯ ยืนยันคำเตือนของตัวเองให้ระมัดระวังการก่อการร้ายในพื้นที่ถนนข้าวสาร และสุขุมวิท 22 ว่า รัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี และ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ต้องรีบแก้ปัญหานี้ เพราะทั้งสหรัฐฯ และสวีเดน ก็ออกมาปฏิเสธข้อมูลของไทย รัฐบาลจึงต้องเร่งทำงานหนักในการเอาข้อมูลที่ต่างชาติมีอยู่มาพิจารณา และคลี่คลายปัญหานี้ให้ได้ เพราะไม่เป็นผลดีถ้าสหรัฐฯ ยังคงคำเตือนอยู่ หรือข้อมูลของรัฐบาลถูกโต้แย้งโดยกลุ่มต่างๆ ก็จะกระทบชื่อเสียงของประเทศไทย จึงต้องทำงานหนักเพื่อคลายปมนี้ให้ได้
“ผมคิดว่า นายกฯ และ สมช.ต้องเป็นหลักในเรื่องนี้ เพราะกระทรวงการต่างประเทศก็ทำได้เท่าที่หน่วยงานด้านความมั่นคงจะแก้ปัญหาได้ พูดเกินเลยกว่านั้นไม่ได้ แต่กระทรวงการต่างประเทศต้องประสานงานมากขึ้น ซึ่งทูตสหรัฐฯกำลังอยู่ในระหว่างการเดินทางกลับมาในประเทศไทย จึงต้องประสานงานอย่างใกล้ชิด และรีบคลี่คลายปัญหา เพราะตอนนี้ความสับสนเกิดขึ้นทั่วไปไม่ใช่เฉพาะในหมู่คนไทยเท่านั้น ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดอย่างไรก็ต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย แต่ที่สำคัญคือ รัฐบาลต้องรู้ว่าคำเตือนของสหรัฐฯ อยู่บนพื้นฐานข้อมูลอะไร และแก้ปัญหาตรงนั้นหรือยัง ส่วนการไปจับคนที่ทำผิดเป็นหน้าที่ของตำรวจอยู่แล้ว ซึ่ง สมช.หน่วยงานความมั่นคง และกระทรวงการต่างประเทศต้องประสานสหรัฐฯ เอาข้อมูลที่เป็นฐานการออกคำเตือนมาแก้ปัญหาให้สหรัฐฯ เห็นว่า เราแก้ปัญหาแล้ว เพราะถ้าปล่อยให้ยืดเยื้อจะไม่เป็นผลดีกับชื่อเสียงของประเทศ รวมทั้งจะกระทบอุตสาหกรรมท่องเที่ยว” นายอภิสิทธิ์ กล่าว