เอกชนจี้รัฐแจงข้อมูลต่างชาติ หลังข่าวก่อการร้ายทำท่องเที่ยวไทยทรุด

เอกชนเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงกับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยด่วน เนื่องจากข่าวดังกล่าวส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศและภาคการท่องเที่ยวอย่างหนัก ด้าน รมว.ต่างประเทศ ตีมึน เสียใจ อเมริกา แคนาดา และออสเตรเลีย ให้ข่าวไม่ได้หารือกับทางกระทรวงการต่างประเทศก่อน ขณะที่สนง.ตำรวจแห่งชาติ โว ให้สันติบาลออกหาข่าวอย่างต่อเนื่อง ประชาชนไม่ต้องกังวล

กรณีสถานทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย ได้ออกประกาศผ่านเว็บไซต์แจ้งเตือนชาวอเมริกันให้ใช้ความระมัดระวังสูงสุด และหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังจุดที่นักท่องเที่ยวตะวันตกนิยมไปรวมตัวกันใน กทม. หลังมีรายงานว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายต่างชาติ มีแผนลงมือก่อวินาศกรรมโจมตีจุดท่องเที่ยวต่างๆ ใน กทม. ระหว่างวันที่ 13-15 มกราคม 2555

ล่าสุดมีรายชื่อประเทศที่ออกประกาศเตือนนักท่องเที่ยวและพลเมืองของตนที่อยู่ในประเทศไทยให้ระวังตัว รวม 14 ประเทศ ได้แก่ อิสราเอล ออสเตรเลีย แคนาดา สหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์ ออสเตรีย อิตาลี สวีเดน เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น จีนและไต้หวัน

ทั้งนี้หลังการออกมาแจงเตือนเรื่องการระวังการก่อการร้ายในเมืองไทย นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ได้เผยว่า รู้สึกผิดหวัง และไม่สบายใจที่ 3 ประเทศ ได้แก่ อเมริกา แคนาดา และออสเตรเลีย ประกาศแจ้งเตือนนักท่องเที่ยวให้ระมัดระวังในการเดินทางมาท่องเที่ยวไทย โดยไม่ได้หารือกับกระทรวงการต่างประเทศก่อน ทำให้ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว และภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นของประเทศ ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศของไทย จะแจ้งให้เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศต่างๆ ไปชี้แจงกับประเทศเหล่านั้นให้เข้าใจถึงสถานการณ์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555

ด้านสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ออกมาเปิดเผยหลังมีข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นว่า ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมเชิญตัวผู้ต้องสงสัยว่ามีข้อมูลเชื่อมโยงเกี่ยวกับผู้ต้องสงสัยมาสอบถามข้อมูล และขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวล ทางตำรวจจะยกระดับความปลอดภัยขึ้น ทั้งการเฝ้าระวังบุคคล และการเฝ้าระวังพื้นที่ โดยให้ตำรวจสันติบาลออกหาข่าวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเข้า - ออกประเทศของบุคคลต้องสงสัย

เอกชนเผยการท่องเที่ยวผลกระทบหนัก

นายกงกฤช หิรัญกิจ ประธานฝ่ายนโยบาย สทท. ชี้ หากเกิดวินาศกรรมจริง โดยเฉพาะในย่านการค้าที่มีชื่อเสียง ย่อมส่งผลกระทบการท่องเที่ยวแน่นอน โดยเฉพาะด้านจิตใจ โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบอาจไม่ใช่เพียงกลุ่มที่มาจากอเมริกา อังกฤษ และอิสราเอล เท่านั้น แต่จะกระทบไปยังนักท่องเที่ยวกลุ่มเอเชียด้วย เพราะอ่อนไหวต่อข่าวความรุนแรง พร้อมอยากให้รัฐบาลมีมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มข้นตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในทุกๆ จุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว รวมถึงให้เพิ่มความเข้มข้นในเรื่องข่าวกรอง ระบบรักษาความปลอดภัยของประเทศ ส่วนภาคเอกชนได้ขอความร่วมมือให้ทุกสถานประกอบการที่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปพักจำนวนมาก ให้ช่วยตรวจตราสิ่งของต้องสงสัยอย่างเข้มงวด เพื่อช่วยภาครัฐอีกแรง

ส่วนนายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า ข่าวดังกล่าว ทำให้ตลาดต่างประเทศขาดความเชื่อมั่นประเทศไทยในวงกว้างขึ้น โดยสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีนักเดินทางกลุ่มที่เดินทางด้วยตัวเอง(FIT) ขอยกเลิกการเดินทางบ้างแล้ว เช่น นักท่องเที่ยวจากประเทศ ไต้หวัน ญี่ปุ่น รวมถึงนักท่องเที่ยวจากประเทศระยะใกล้ ที่ รับรู้ข่าวจากประเทศไทยได้รวดเร็ว บางรายพบว่า เมื่อได้รับข่าว ก็ขอยกเลิกทันที ส่วนนักท่องเที่ยวที่เป็นกรุ๊ปทัวร์ยังเดินทางมาปกติ แต่เชื่อว่า ใน 2-3 วันนี้ เริ่มเห็นสัญญาณชัดเจนว่านักท่องเที่ยวจะทยอยยกเลิกมากแค่ไหน สิ่งสำคัญประกอบการตัดสินใจ คือ ไทยต้องไม่มีเหตุร้ายแรง เหมือนที่ประกาศเตือน

ด้านนายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายก แอตต้า เผย ขณะนี้นักท่องเที่ยวกลุ่ม FIT จากฮ่องกง ไต้หวัน ได้ทยอยยกเลิกการเดินทางมาไทยทันทีที่รับทราบข่าวสถานทูตสหรัฐอเมริกาประกาศเตือนนักท่องเที่ยว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยอย่างรุนแรง พร้อมเป็นห่วงว่าหลายประเทศจะประกาศเตือนตามอเมริกา อย่างไรก็ตาม แอตต้า ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมเรียกประชุมสมาชิกเพื่อวางแนวทางในการชี้แจงนักท่องเที่ยว และบริษัทนำเที่ยวให้ถูกต้อง เพราะหากไม่เร่งแก้ไข อาจกระทบต่อการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีน

ขณะที่นายประกิจ ชินอมรพงษ์ นายกสมาคมโรงแรมไทย เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงกับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยด่วน เนื่องจากข่าวดังกล่าวส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศอย่างหนัก และส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวไทย ทำให้นักท่องเที่ยวประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่มเอเชีย อาทิ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น ไม่กล้าเดินทางมาเที่ยวไทย

ข้าวสารนักท่องเที่ยวหนี ยอดจองโรงแรมหาย

นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานฝ่ายเจ้าหน้าที่ปฎิบัติการ บัดดี้กรุ๊ป โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ย่านถนนข้าวสาร เผยว่า หลังข่าวการก่อการร้ายแพร่ออกไป ล่าสุดยอดจองห้องพักของ บัดดี้ ลอดจ์ ที่นักท่องเที่ยวจองไว้ตั้งแต่วันที่ 16-19 ม.ค.55 ลดลงมากถึง 50% ซึ่งนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังถนนข้าวสารส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มที่ไม่บุ๊คกิ้งนาน จะจองล่วงหน้าแค่ 2-3 วัน ก่อนเดินทาง และจะไม่นิยมโทรศัพท์มาสอบถาม แต่จะหาข้อมูลจากข่าวสาร เมื่อเกิดข่าวเช่นนี้ขึ้น เขาจึงเกิดความไม่มั่นใจ ส่วนช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาแขกที่จองไว้ยังเข้าพักเต็ม 100% เพราะเดินทางมาแล้ว และยังไม่ได้รับข่าวสาร

ทั้งนี้เหล่าผู้ประกอบการโรงแรมและธุรกิจท่องเที่ยวในถนนข้าวสารได้เรียกร้องให้ทางรัฐบาลและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ชี้แจงข้อมูลต่อข่าวดังกล่าวอย่างชัดเจน ว่าเมืองไทยสามารถจัดการกับปัญหาดังกล่าวได้ เนื่องจากทางภาครัฐได้ยืนยันว่าสามารถจับตัวผู้ก่อการร้ายได้แล้ว เพื่อเรียกความมั่นใจกลับคืนมาโดยเร็ว