ผ่าประเด็นร้อน
ไม่ต้องมาเถียงให้เกิดโมโหโดยเปล่าประโยชน์ว่าการงุบงิบฉวยโอกาสช่วงชุลมุนที่คนไทยกำลังเดือดร้อนขนของ อุ้มลูกจูงหลานอพยพหนีภัยน้ำท่วมเดือดร้อนแสนสาหัส ผลักดันพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2554 เนื่องในวโรกาสวันมหามลคล วันที่ 5 ธันวาคม 2554 โดยตัดข้อความไม่ให้ครอบคลุมถึงคดียาเสพติดและคดีทุจริต ที่เคยระบุเอาไว้ในพระราชกฤษฎีกาปี 2553 ในยุครัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ออกไป
แต่ขณะเดียวกันให้คลุมไปถึงผู้ที่ต้องโทษอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป และถูกจำคุกไม่เกิน 3 ปี ไม่ว่ามองในมุมไหนก็ต้องเข้าใจทันทีว่านี่คือการออกกฎหมายเพื่อคนเพียงคนเดียว และผลักดันโดยรัฐบาลของน้องสาวตัวเอง คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และดำเนินการโดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง มีการวางแผนกันอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
รายละเอียดดังกล่าวที่ผ่านมาเชื่อว่าสังคมได้รับรู้ด้วยอารมณ์โกรธกันไปทั่วหน้าแล้ว ไม่จำเป็นต้องมากล่าวซ้ำให้เสียเวลา
นาทีนี้ต้องมากล่าวถึงเหตุผลว่าทำไมถึงไม่อาจอภัยโทษให้กับ ทักษิณ ชินวัตร ได้เลย เพราะถ้าใช้วิธีการแบบที่ว่าใช้อำนาจรัฐบาลของตัวเองออกกฎหมายตามใจชอบตามคำสั่งแล้วก็ถือว่านี่คือขบวนการย่ำยีระบบกฎหมาย ย่ำยีคำพิพากษาของศาลยุติธรรมของประเทศจนป่นปี้
นอกจากนี้ ทักษิณ ยังไม่เคยยอมรับผิด หรือสำนึกผิดเลยสักครั้งเดียว ตรงกันข้ามยังให้ร้ายโจมตีศาลว่าเป็นพวก “ยุติความเป็นธรรม” ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีใคร “บังอาจ”แบบนี้มาก่อน
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือทักษิณ เป็นบุคคลที่จาบจ้วงให้ร้าย สถาบันพระมหากษัตริย์โดยมีหลักฐานเป็นคำให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศอย่างชัดเจนต่างกรรมต่างวาระหลายครั้ง มีหลักฐานชัดเจนทั้งวันเดือนปี แล้วคนแบบนี้หรือ ที่ควรได้รับการอภัยโทษ
หากพิจารณากันในรายละเอียดเปรียบเทียบยิ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะนี่คือการเอาเปรียบ เป็นการใช้ “อภิสิทธิ์ชน” เหนือคนอื่น เพราะที่ผ่านมา ทักษิณ หลังจากถูกคำพิพากษาตัดสินความผิดในคดีที่ดินรัชดาภิเษกฐานใช้อำนาจโดยมิชอบ ให้จำคุกเป็นเวลาสองปี ซึ่งนอกจากเขาไม่ยอมรับกติกา ไม่ยอมรับคำพิพากษา โดยหลบหนีออกนอกประเทศโดยไม่ยอมให้ถูกจำคุก
ขณะเดียวกันยังใช้โอกาสที่ตัวเองมีเงินมาก ว่าจ้างทนายความ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายทั้งในและต่างประเทศเคลื่อนไหวโจมตีกระบวนการยุติธรรมของไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งใช้เครือข่ายคนเสื้อแดงผ่านทาง “หัวโจก” ปลุกระดมก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง เพื่อกดดันให้ทำตามประสงค์ของตัวเอง
แม้ว่าที่ผ่านมาการกดดันโดยวิธีใช้ความรุนแรง ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็สร้างความบอบช้ำให้กับบ้านเมืองไม่น้อย จนกระทั่งผลักดันให้ น้องสาวของตัวเอง คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชนะเลือกตั้งจนได้เป็นนายกรัฐมนตรีสามารถยึดอำนาจรัฐกลับมาอยู่ในมือของตัวเองอีกครั้งแล้วใช้วิธีฉ้อฉลดังกล่าว “เล่นทีเผลอ” อาศัยช่วงชุลมุนย่องมาข้างหลัง หยิบฉวยเอา “ของสำคัญ” ออกไป
สิ่งที่ต้องพิจารณากันก็คือ ทักษิณ มีความสำคัญแค่ไหนถึงขนาดต้องระดมสรรพกำลังทุกอย่างของชาติ เพื่อให้ออกกฎหมายเพื่อมารองรับคนเพียงคนเดียว มิหนำซ้ำคนๆนั้นยังมีแต่เรื่องอื้อฉาวในเรื่องทุจริตฉ้อฉลอยู่ตลอดเวลา และถามว่าหากเขาได้รับการอภัยโทษในคดีทุจริตซื้อที่ดินรัชดาฯแล้วต่อไปก็ต้องแก้กฎหมายเพื่อให้พ้นผิดในคดีอื่นๆตามอีกอย่างนั้นใช่หรือไม่ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงแล้วนักโทษคนอื่นๆที่ต้องทนรับกรรมติดคุกมานาน มีความสำนึกผิดยอมรับในคำพิพากษา แม้จะไม่เห็นด้วยก็ตาม พวกเขาเป็นคนแบบไหน เป็นเพราะไม่มีเงินระดับเศรษฐี ไม่มีน้องสาวเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่มีรองนายกฯอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงคอยรับหน้าถูกด่าแทนเพื่อหวังแลกกับ “อะไร” บางอย่าง คนที่เคยติดคุกเหล่านั้นไม่มีความหมายหรืออย่างไร เป็นเพียงแค่ “ไพร่กระจอก” เท่านั้นหรือ
นอกจากนี้ข้ออ้างที่บอกว่า พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งถึง 15 ล้านเสียงต้องการให้พา ทักษิณ กลับบ้านนั้นเป็น ตรรกะที่ทุเรศที่สุด เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นต่อนักการเมืองหรือเศรษฐีชั่วๆสักคนหนึ่งทำความผิดแล้วก็ทุ่มเงินรณรงค์หาเสียงเมื่อคนของตัวเองหรือตัวเองได้รับเลือกเข้ามาก็มาอ้างว่า นี่ไงไม่ผิด เพราะชาวบ้านเลือกมาด้วยเสียงส่วนใหญ่ ถ้าเป็นแบบนี้ระบบศาลยุติธรรมก็จะพังพินาศเพราะใช้ระบบเสียงข้างมากจากการเลือกตั้งมาตัดสินคดีความถูกผิดกันหน้าตาเฉย
เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวที่มิชอบเอาเปรียบคนอื่น ขณะที่ตัวเองก็มีประวัติไม่โปร่งใส มีแต่เรื่องอื้อฉาว ไม่เคยสำนึกผิด ไม่เคยติดคุก ตรงกันกลับหนีเอาตัวรอด โจมตีให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ คนแบบนี้ไม่มีทางได้รับการอภัยโทษเป็นอันขาด !!