xs
xsm
sm
md
lg

“มาร์ค” ซัด “ปูนิ่ม” ชิ่งแจงตัวเลข 9 แสนล้าน วอนอย่าถลุงงบฯ โดยไม่จำเป็น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ภาพจากแฟ้ม)
“มาร์ค” ย้ำเตือน “ยิ่งลักษณ์” ชาติยังวิกฤตควรเลิกโครงการรถยนต์คันแรก ระบุเงินตั้ง 3 หมื่นล้าน หากนำช่วยผู้ประสบอุทกภัยจะมีประโยชน์กว่าเยอะ ไม่เชื่อมือ “โกร่ง” ฟื้นฟูชาติได้ สุดงงรัฐมีตัวเลข 9 แสนล้านแต่ไม่มีรายละเอียด บอกตรงไม่มั่นใจ นิวไทยแลนด์ “แม้ว” จะนำชาติไปรอด ยันไม่คิดให้ผู้ว่าฯ กทม.ลาออก

วันนี้ 10 พ.ย. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าย ประเมินการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 ตลอด 2 วันที่ผ่านมาว่า ยังไม่ได้รับคำชี้แจงจากรัฐบาลแต่เห็นว่าบรรยากาศโดยรวมเป็นไปด้วยดีและหวังว่ารัฐบาลจะนำข้อเสนอแนะของฝ่ายค้านไปพิจารณา เพื่อปรับปรุงการจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้วยการตัดงบประมาณที่ไม่จำเป็นออกไป เพราะนายวีรพงษ์ รามางกูร ประธาน กนอ.ก็เริ่มออกมาแสดงความเห็นว่าจำเป็นต้องใช้เงินแล้ว จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนต้องจัดระบบภาพรวมให้ชัดเจนว่าการฟื้นฟูประเทศจากนี้ไปต้องใช้เงินเท่าไหร่ เป็นเงินกู้หรือจากแหลงอื่น กลไกที่จะใช้จะทำให้เกิดความมั่นใจในเรื่องประสิทธิภาพหรือความโปร่งใสอย่างไร ควบคู่ไปกับการทบทวนนโยบายบางด้าน รวมถึงการเปิดโอกาสให้สภาได้ตรวจสอบงบกลง 1.2 แสนล้านบาทด้วย

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า รัฐบาลไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับฝ่ายค้านแต่ต้องมีจุดยืนที่ชัดเจน และเสียดายที่รัฐบาลไม่ใช้เวทีสภาให้เกิดประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างฝ่ายค้านและรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรีไม่ตอบคำถามในสภาเลย สิ่งที่ชี้แจงกับสื่อมวลชนก็ไม่ได้อธิบายหลักคิดว่าทำไมจึงไม่ยอมตัดโครงการรถยนต์คันแรกออกไป เพราะฝ่ายค้านเห็นว่าเงิน 3 หมื่นล้านบาทสามารถดูแลจ้างงานคน 1 ล้านคน 3 เดือนมีความคุ้มค่ามากกว่าที่จะใช้ไปในโครงการรถยนต์คันแรกที่จะมีคนได้ประโยชน์เพียงแค่ 1 แสนคน

“ผมยืนยันว่า เงิน 3 หมื่นล้านไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ เราพูดถึงการชดเชยเงิน 5 พันบาทให้ผู้ประสบภัยได้ 3 ล้านครัวเรือนโดยยอดรวมยัง ไม่ถึง 3 หมื่นล้านเลย แต่มาตรการรถคันแรกใช้เงินมากกว่าเงินชดเชยที่จะเอามาให้กับประชาชนเกือบเท่าตัว นี่คือสิ่งที่ผมบอกว่าเราต้องการการตัดสินใจ ต้องการคำตอบว่าการจัดลำดับความสำคัญในภาวะวิกฤตเป็นอย่างไร” นายอภิสิทธิ์กล่าว

ผู้นำฝ่ายค้านยังกล่าวถึงแนวคิดที่จะใช้เงินฟื้นฟูประเทศด้วยการใช้เงินคงคลังว่า เมื่อรัฐบาลมีแนวคิดเช่นนี้ก็ต้องระดมความคิดว่าจะมีช่องทางใดในการใช้ทรัพยากรเพื่อมาฟื้นฟูประเทศ การทำเรื่องนี้ต้องมองล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 ปี และปัญหาที่เป็นห่วงคือ ภาระจากนโยบายของรัฐบาลจะไปปรากฏในงบประมาณปี 56 จำนวนมาก เฉพาะเรื่องจำนำข้าวเรื่องเดียวก็อยู่ในหลักแสนล้านบาทแล้ว การจะใช้เงินต้องขึ้นอยู่กับงานที่จะทำ ในขณะที่รัฐบาลยังไม่มีความชักเจนว่าทำอะไรแต่กลับพูดถึงแต่วงเงินจำนวนมหาศาล ผมยอมรับว่ามีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินฟื้นฟูประเทศและมีความเป็นไปได้ที่งบประมาณที่ตั้งไว้จะไม่เพียงพอ แต่รัฐบาลต้องมีรายละเอียดเป็นภาพให้เห็นว่ากำลังจะทำอะไร เพื่อวางแผนในการระดมทรัพยากรมาได้

“เมื่อวานมีโอกาสคุยกับ รมว.คลังอย่างไม่เป็นทางการ ท่านยังเห็นด้วยกับผมว่าต้องมีการระดมความเห็นในเรื่องการจัดทรัพยากรตรงนี้ เบื้องต้นผมคิดว่ารัฐบาลสามารถลดภาระเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ก่อน แล้วค่อยมาคิดว่าจะระดมทรัพยากรในลักษณะไหน ซึ่งต้องหารือกับภาคส่วนอื่นด้วยเพราะถ้าจะมีการใช้เงินคงคลังหรือแก้กฎหมายธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อนำเงินไปลงทุนก็ต้องนำแผนมากางว่ามีความจำเป็นในการใช้จ่ายอย่างไร ผมไม่เชื่อว่าการลงทุนขนาดใหญ่อย่างที่บางท่านพูดว่าเท่าไหร่ก็ต้องทำ ค่าใช้จ่ายจะเกิดในระยะเวลาสั้นๆ ต้องวางแผน และผมก็ไม่ทราบว่าสุดท้ายทุกอย่างจะเดินไปสู่โครงการนิวไทยแลนด์ตามควมคิดของพ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ เพราะไม่เข้าใจอะไรคือสิ่งใหม่สำหรับประเทศไทย เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่ามีโครงการในสมัยเป็นรัฐบาลแต่เราไม่เคยเห็น มีแต่โครงการถมทะเลซึ่งสุดท้ายก็ไม่ได้ทำและไม่ช่วยสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 เดือนได้”

ผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจในตัวนายวีรพงษ์ รามางกูร ประธาน กนอ. ที่ประกาศจะฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศไทยใหม่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่เชื่อว่าจะมีบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่จะเก่งกาจสามารถทำได้ทุกเรื่อง จึงอยู่ที่การทำงานที่จะระดมความคิดให้เกิดความเหมาะสมมากกว่า

ผู้นำฝ่ายค้านยืนยันด้วยว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีความคิดที่จะให้ ผู้ว่า กทม.ลาออก ตามที่มีกระแสข่าวออกมา เพราะแม้แต่รัฐบาลพรรคก็มีจุดยืนชัดเจนว่าต้องพักเรื่องการเมืองเอาไว้ ถึงวันนี้น้ำจ่อเข้ามาเรื่อยๆ ปัญหายังไม่จบ ไม่รู้ว่าบิ๊กแบ๊กจะได้ผลหรือไม่ ปริมณฑลต่างจังหวัดคนยังจมน้ำอยู่ ในบางจังหวัดที่น้ำลดก็มีปัญหาใหม่เกิดขึ้น พรรคจึงระดมกำลังช่วยประชาชน ไม่มีความคิดให้ผู้ว่าฯ กทม.ลาออก

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะที่ปัญหาน้ำยังไม่จบแต่รัฐบาลยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องการใช้เงินนอกจากการพูดถึงตัวเลข 8-9 แสนล้านบาท จะทำให้ประเทศเสี่ยงต่อการขาดวินัยทางการเงินการคลังหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า อยากเห็นรัฐบาลใช้ทุกเวทีให้เป็นประโยชน์ รับฟังแลกเปลี่ยนความเห็นจากทุกภาคส่วน แต่ถ้ายังบริหารประเทศอย่างนี้ตนก็มีความกังวล เพราะรัฐบาลยังมีปัญหาเรื่องความเชื่อมั่น ความซับซ้อนและกลไกต่างๆ มีมาก เพราะมีการตั้งคณะกรรมการจำนวนมากจนไม่รู้ว่าจะไปจบที่ตรงไหน ประชาชนก็ยังกังวลกับสถานการณ์เฉพาะหน้า เพราะฉะนั้นการจัดลำดับความสำคัญจึงมีความจำเป็น

“ผมเรียนว่าไม่ทราบจริงๆ ว่าตัวเลข 8-9 แสนล้านบาทหยิบมาจากไหน ประมาณการจากอะไร โดยเฉพาะการบริหารจัดการน้ำไม่ใช่นึกจะทำอะไรก็ทำได้ตามใจชอบ เส้นทางน้ำเป็นไปตามธรรมชาติส่วนหนึ่ง ไม่ใช่มาจิ้มในแผนที่แล้วบอกว่าอยากทำทางน้ำไปทางโน้นทางนี้ในทางปฏิบัติทำอย่างนั้นไม่ได้ ต้องดูความลาดชันของพื้นที่ต้องดูว่าน้ำไหลมาหรือไม่ อย่างระบบที่เราออกแบบเรื่องการระบายน้ำที่เป็นปัญหาก็เห็นชัดว่าเป็นระบบที่รองรับน้ำฝนแต่พอเป็นน้ำหลาก น้ำทุ่งก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำงานได้เสมอไปจึงต้องคิดให้ครบ อย่าลืมว่าวันนี้เราน้ำท่วมแต่สุโขทัยซึ่งก่อนหน้านี้น้ำท่วมหนักมากกำลังบ่นเรื่องภ้ยแล้งแล้ว” นายอภิสิทธิ์กล่าว

ส่วนกรณีที่รัฐบาลไม่ยอมยืนยันกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการจัดตั้งองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพตามมาตรา 67 วรรค 2 จะเกี่ยวกับโครงการเมกะโปรเจกต์ที่รัฐบาลต้องการจะทำในอนาคตหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนวิเคราะห์ว่ารัฐบาลไม่ยืนยันกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญปี 50 แม้แต่ฉบับเดียว เพราะคิดแก้รัฐธรรมนูญ ตนก็ต้องถามอีกครั้งว่า การแก้รัฐธรรมนูญหรือ กฎหมายต่างๆ เป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนอย่างไรในภาวะที่ต้องฟื้นฟูประเทศ และมีกฎหมายหลายฉบับที่จะสร้างหลักประกันในเรื่องความโปร่งใส การตรวจสอบการมีส่วนร่วมของประชาชนก็ควรจะเดินต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น