xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อนักการเมืองขาดสำนึก ขรก.ต้องกล้าเป็นเสาหลัก!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผ่าประเด็นร้อน

การเข้าสู่อำนาจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่นำพาคณะรัฐมนตรีหน้าตาบ่งบอกเป็นทาสรับใช้ เข้าเฝ้าถวายสัตย์เพื่อปฏิบัติหน้าที่ ในห้วงเวลาใกล้ฤดูกาลโยกย้ายข้าราชการประจำพอดิบพอดี จึงมีสิ่งที่สังคมไทยต้องติดตามถึงการจัดวางระบบราชการให้เป็นฐานทางการเมือง โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเป็นผู้วางแผนบัญชาการ

ส่วน “ปู-ยิ่งลักษณ์” ก็มีหน้าที่แค่รับทราบนำมาปฏิบัติให้เจตนารมณ์ของทักษิณเป็นความจริง สร้างอาณาจักรค้ำบัลลังก์อำนาจตัวเอง

แนวทางที่ระบอบทักษิณใช้อย่างได้ผลในช่วงเวลาที่ทักษิณเหิมเกริมลุแก่อำนาจสยายปีกครอบงำข้าราชการ จนคนดีอยู่ไม่ได้มีแต่พวกลิ้นยาวไร้สำนึกเท่านั้นที่ได้ดี จนทำให้เกิดความหวาดผวาในหมู่ราชการไม่มีใครกล้าทักท้วง เมื่อมีการกำหนดนโยบายที่ผิดพลาด หรือมีการเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองจนรัฐเสียประโยชน์มหาศาล

ขณะที่ข้าราชการจำนวนไม่น้อยก็เลือกที่จะเอาตัวรอดสนองนโยบายการเมืองแบบสุดลิ่มทิ่มประตูเพื่อความก้าวหน้าในตำแหน่งแห่งหนของตัวเอง โดยไม่คิดว่าประเทศชาติจะถอยหลังลงคลองหรือไม่

เมื่ออำนาจการเมืองกลับมาอยู่ในเงื้อมมือทักษิณอีกครั้ง วงการราชการก็เริ่มตั้งโต๊ะเชลียร์ “นายใหม่” สนองการเมืองก่อนมีนโยบายเสียอีก เพราะแค่ชำเลืองมองข้าราชการไร้สำนึกต่อแผ่นดินก็เร่งรีบทำให้อย่างร้อนรน จนน่ารังเกียจ

ตัวอย่างเช่น กรณี นางจิตรมณี สุวรรณพูล รองอธิบดีกรมสรรพากร ออกมาระบุถึงการคืนภาษีให้กับพานทองแท้ และ พิณทองทา ชินวัตร หลานชายหลานสาวนายกฯยิ่งลักษณ์ ในคดีโอนหุ้นบริษัท ชินคอร์ป ผ่านทางบริษัท แอมเพิล ริช อินเวสเมนต์นอกตลาดหลักทรัพย์เพื่อเลี่ยงการเสียภาษี

"ศาลภาษีกลางได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2553 ว่าทั้งสองคนไม่ใช่เจ้าของหุ้นตัวจริงเพราะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชรเป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริง การที่กรมสรรพากรจะเก็บภาษีหุ้นจากนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทาเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง"

เป็นการอ้างอิงที่ถามว่า มีเหตุผลหรือไม่ก็ต้องบอกว่ามีประเด็น แต่คำถามคือหน้าที่หลักของกรมสรรพากร คือ การจัดเก็บภาษี ดังนั้นเมื่อมีรายได้ที่พึงต้องเสียภาษีเกิดขึ้น ซึ่งศาลภาษีกลางเองก็ยืนยันในเรื่องดังกล่าวเพียงแต่เห็นเจ้าของหุ้นตัวจริงคือ นักโทษหนีคดีและเมียจริงนอกกฎหมาย สิ่งที่กรมสรรพากรควรต่อสู้ในทางกฎหมายเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการรักษาผลประโยชน์ชาติ คือ การยื่นอุทธรณ์เพื่อให้คดีถึงที่สุด และศึกษาข้อกฎหมายควบคู่ไปด้วยว่าหากเรียกเก็บจากลูกชายลูกสาวทักษิณไม่ได้จะไล่เก็บกับคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่เป็นเจ้าของหุ้นตัวจริงอย่างไร

เพราะภาษีที่ต้องตกเป็นของแผ่นดินก้อนนี้จะต้องมีผู้รับผิดชอบ ไม่ใช่บอกว่ากำลังพิจารณาอยู่แถมยังชี้โพรงให้กระรอกเสียอีกว่า คดีอาจหมดอายุความไม่สามารถเรียกเก็บจากทักษิณกับเมียได้ ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่กรมสรรพากรควรดำเนินการ คือ หากรู้ว่าจะมีปัญหาเรื่องการหมดอายุความก็ต้องรีบเร่งรัดรักษาผลประโยชน์แผ่นดินด้วยการเรียกเก็บภาษีกับคนตระกูลชินวัตรที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว

แต่กรมสรรพากรกลับทำตาใสนั่งนิ่งเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่ดำเนินการใด ๆ

จึงไม่แปลกที่คนเขาจะก่นด่าว่า ทำครั้งนี้เพื่อให้เข้าตาฝ่ายการเมืองหวังตำแหน่งที่สูงขึ้นในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้

ไม่ต่างอะไรกับข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศที่กำลังปรับสีรับนายใหม่ ด้วยการเตรียมหาเหตุผลให้ สุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศตามคำสั่งพิเศษนักโทษได้ใช้เป็นช่องทางในการคืนพาสปอร์ตให้ ทักษิณ เพื่อจะได้เดินทางในฐานะพลเมืองไทย หลังจากไปเป็นกาฝากใช้พาสปอร์ตในฐานะพลเมืองของมอนเตเนโกรมาเป็นเวลาหลายปี

ที่น่าติดตามมากไปกว่านั้น คือ กระทรวงการต่างประเทศภายใต้การกำกับของ สุรพงษ์ ที่เคยประกาศตนเป็นญาติกับทักษิณ เมื่อครั้งมีการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษให้นักโทษชาย จะนำเอากระทรวงการต่างประเทศไปรับใช้นักโทษชายเพื่ออำนวยความสะดวกกับการใช้ชีวิตในต่างแดนของนักโทษรายนี้อย่างไร

ซึ่งอาจไปไกลถึงขั้นใช้กระทรวงการต่างประเทศของไทยรองรับผลประโยชน์ในการติดต่อธุรกิจของนักโทษชายด้วย ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ สุรพงษ์ ได้รับเลือกให้นั่งตำแหน่งนี้ เพื่อคอยรับคำสั่งจากนายใหญ่โดยตรง

จึงอยากฝากเป็นข้อคิดถึงข้าราชการทุกกระทรวงว่า เงินเดือนที่ท่านได้รับคือ ภาษีจากประชาชน หาใช่เงินก้นถุงจากคนตระกูลชินวัตร อีกทั้งพวกท่านทั้งหลายยังเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีหน้าที่รักษาประโยชน์ให้กับแผ่นดิน ไม่ใช่คนตระกูลใดตระกูลหนึ่ง

แต่หากสำนึกเหล่านี้ไม่มี ก็ให้ดูอดีตบิ๊กข้าราชการที่เคยรับใช้ระบอบทักษิณเป็นตัวอย่างว่าจุดจบในชีวิตราชการเป็นอย่างไร

เริ่มจาก ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร ที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรงจนถูกไล่ออกจากราชการ จากการไม่เก็บภาษีหุ้นชินมูลค่า 270 ล้านบาท ศิโรตม์ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลสู้คดีร่วมกับข้าราชการกรมสรรพากรอีกราย คือ วิชัย จึงรักเกียรติ อดีต ผอ.สำนักงานกฎหมาย ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 คดีไม่เก็บภาษีหุ้นชินฯ 270 ล้าน

ขณะที่อดีตบิ๊กกระทรวงการคลังอีกหลายรายที่ตอบสนองการเมืองจนถูก ป.ป.ช.หันยกแผง ประกอบด้วย นายสมใจนึก เองตระกูล ปลัดกระทรวงการ คลัง (ในขณะนั้น) นายสมหมาย ภาษี รองปลัดกระทรวงการคลัง (ในขณะนั้น) และนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล อธิบดีกรม สรรพากร (ในขณะนั้น) และ นายวีระ ไชยธรรม ที่ปรึกษาระบบบริหารสำนักงาน กพ. มีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานปฏิบัติ หรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่มิชอบ กรณีแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมสรรพากรโดยมิชอบ ไม่เป็นไปตามมติ ครม. ซึ่งมติ ป.ป.ช.คราวนั้นยังชี้มูลความผิดรวมไปถึง คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ เลขา กพ.ในขณะนั้นด้วย จนทั้งหมดถูกไล่ออกจากราชการ

จึงอยากให้ข้าราชการในขณะนี้ได้สำเหนียกและลองชั่งน้ำหนักดูว่า ตำแหน่งที่จะได้มาโดยต้องแลกกับการสูญเสียเกียรติยศศักดิ์ศรีที่สั่งสมมาตลอดชีวิตมันคุ้มค่ากันหรือไม่ เพราะประโยชน์เฉพาะหน้าก็แค่ได้เชิดหน้าชูคอในวันที่มีตำแหน่ง พอหมดตำแหน่งก็เป็นแค่ตาแก่ายายแก่ที่คนเขาไม่อยากยกมือไหว้ เพราะขาดความนับถือ

ไม่เหมือนกับการรักษาความดีตอบแทนคุณแผ่นดินอย่างสมศักดิ์ศรี ความเป็นข้าในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แม้หมดตำแหน่งแต่ผู้คนก็ยังยกย่องเชิดชูไปถึงวงศ์วานว่านเครือ

ในวันที่ฝ่ายการเมืองไร้สำนึก ข้าราชการต้องเป็นเสาหลักให้บ้านเมือง กล้าที่จะทักท้วงเพื่อรักษาหลักการ กฎหมาย และผลประโยชน์ของบ้านเมือง อย่าเป็นไม้หลักปักขี้เลนโอนเอนตามอำนาจเพียงเพื่อประโยชน์ส่วนตน

เพราะถ้าทำเช่นนั้นไม่เพียงเสียชาติเกิดมาเป็นคนไทยเท่านั้น แต่ยังได้ชื่อว่า เป็นส่วนหนึ่งในการทรยศต่อแผ่นดินด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น