โฆษก ปชป.ยืนยัน “มาร์ค” เขียนเฟซบุ๊ก ระบุ “นพเหล่” ต้นเหตุทำไทยเสี่ยงเสียดินแดนให้เขมรเป็นเรื่องจริง ท้าให้ฟ้องหากคิดว่าพูดเท็จ ชี้ ไทยถอนตัวจากภาคีมรดกโลกปิดช่้องเขมรนำไปอ้างกับศาลโลก เตรียมนำประเด็นปกป้องดินแดนกรณีปราสาทพระวิหารหาเสียงโค้งสุดท้าย
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวกรณีที่ นายพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เขียนเฟซบุ๊กตอบโต้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า สิ่งที่ นายอภิสิทธิ์ ชี้แจงในเฟซบุ๊กก่อนหน้านี้ในเรื่องข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ในประเด็นปราสาทเขาพระวิหารนั้น เป็นความเท็จว่า รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ได้ปกป้องอธิปไตยของประเทศ ทั้งในการรักษาความปลอดภัย และบูรณภาพดินแดนบริเวณชายแดนไทย รวมถึงการตัดสินใจถอนตัวจากอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลก และเหตุการณ์ดังกล่าวนี้สามารถลำดับได้โดยเริ่มจากการออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 18 ก.ค.51 ที่ได้ให้สิทธิ์กัมพูชาขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียว ในสมัยที่นายนพดล เป็น รมว.ต่างประเทศ และพรรคประชาธิปัตย์ที่ขณะนั้น ทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านได้แสดงความเห็นคัดค้านทั้งในและนอกประเทศ จนทำให้ศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ปีเดียวกัน
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า การกระทำของ นายนพดล ยังส่งผลให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ได้กระทำการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 190 และเป็นที่มาให้คณะกรรมการป้องกันและปรามปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ชี้มูลความผิด ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็กำลังไต่สวนอยู่
อย่างไรก็ดี ผลจากคำวินิจฉัยของศาลนั้น ก็ไม่สามารถคัดค้านแถลงการณ์ร่วมได้ และกัมพูชาก็ใช้แถลงการณ์ดังกล่าวในการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกได้ 8 ก.ค.51 จนทำให้ประเทศไทยสุ่มเสี่ยงต่อการเสียดินแดน เพราะกัมพูชาได้แนบแผนภูมิในเรื่องเขตแดนด้วย ทั้งนี้ ยืนยันว่าเมื่อรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลก็ได้ใช้เวทีทั้งในและต่างประเทศแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันและรัฐสภาไทย ไม่เห็นด้วยกับนายนพดล รวมถึงพยายามใช้ข้อต่อสู้นี้คัดค้านเสนอแผนบริหารมดดกโลกของกัมพูชามาตลอด
“แต่ก็ต้องยอมรับว่า ข้อต่อสู้ของประเทศไทยในเวทีโลกได้ถูกบั่นทอนลงตั้งแต่รัฐบาลเมื่อปี 51 หลายคนสงสัยว่า พฤติกรรมของนายนพดลนั้น คล้ายกับการทำในฐานะที่เป็นทนายส่วนตัวให้กับที่ปรึกษาของ สมเด็จฮุนเซ็น มากกว่าคนที่เป็น รมว.ต่างประเทศ แต่ถึงเช่นนั้นพรรคเพื่อไทย ก็ยังปกป้องการกระทำของนายนพดล อันเห็นได้จากการอภิปรายของ ส.ส.เพื่อไทย ในสภาที่ระบุว่า พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นของกัมพูชา”
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า ประชาชนต้องรับทราบถึงการดำเนินการปกป้องอธิปไตยของรัฐบาลชุดปัจจุบัน และทีมคณะเจรจาที่มี นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหัวหน้าคณะที่ต่างยืนยันสิทธิ์ของประเทศไทยในการที่จะให้ข้อพิพาทเป็นไปตามบันทึกตกลงความเข้าใจปี 2543 และตามกลไกทวิภาคีให้เป็นที่เรียบร้อยก่อน ที่จะให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดดำเนินการบริหารจัดการแผนการดำเนินการของรัฐบาลปัจจุบันได้ ทำให้เห็นชัดว่าข้อแตกต่างระหว่างรัฐบาลที่ดำเนินการสุ่มเสี่ยงต่ออธิปไตย กับรัฐบาลที่พยายามปกป้องอธิปไตยแตกต่างกันอย่างไร และเชื่อว่า ประชาชนจะแสดงฉันทานุมัติที่จะสนับสนุนรัฐบาลที่พร้อมปกป้องประเทศชาติ
ทั้งนี้ นายนพดล สามารถใช้สิทธิ์ฟ้องร้องได้เต็มที่ หากสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์พูดมีแม้แต่ถ้อยความเดียวที่ไม่เป็นความจริง ขณะเดียวกัน บุคคลเหล่านี้ก็ต้องชี้แจงพฤติกรรมที่หลายฝ่ายมองว่าทำความเสียหายให้กับประเทศชาติ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ต่อจากนี้พรรคประชาธิปัตย์จะชี้แจงข้อมูลดังกล่าวอย่างไรบ้าง นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า ในเรื่องนี้เชื่อว่าการดำเนินการในส่วนรัฐบาลได้ดำเนินการผ่านสื่อทั้งในและนอกประเทศ และแสดงให้เห็นถึงการยืนยันอธิปไตยไม่ให้กัมพูชาสามารถที่จะหวังการใช้การดำเนินการของคณะกรรมการมรดกโลกชี้แจงต่อศาลโลก ขณะเดียวกัน การดำเนินการของรัฐบาลเมื่อปี 51 ควรที่จะต้องชี้แจงให้กับประชาชน เพราะแสดงผลถึงเสียหายที่ชัดเจน จะอ้างว่า เป็นการดำเนินการสมัยพรรคพลังประชาชน แล้วพรรคเพื่อไทยไม่เกี่ยวข้องไม่ได้ เพราะในวันนี้ ส.ส.เพื่อไทย และทำงานในคณะกรรมาธิการสามัญด้านการต่างประเทศ ก็ได้ดำเนินการทั้งในสภาและผลักดันในชั้นกรรมาธิการ ในการสนับสนุนสิทธิของกัมพูชาที่จะขึ้นทะเบียนแต่เพียงผู้เดียว
ส่วนข้อมูลชุดนี้จะถูกใช้ในเวทีหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ในช่วง 1 สัปดาห์ที่เหลือก่อนการเลือกตั้งด้วยหรือไม่ นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า แน่นอน เรื่องนี้เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก นโยบายต่างประเทศ ระหว่าง 2 พรรค อาจจะเรียกได้ว่า เป็นนโยบายที่แตกต่างมากที่สุดในทุกนโยบาย นอกเหนือจากการล้างผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันที่จะคำนึงถึงศักดิ์ศรีของประเทศชาติก่อนจะเอาใจประเทศเพื่อนบ้าน
ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อถอนตัวจากคณะกรรมการมรดกโลกแล้ว ในการต่อสู้ในเวทีโลกจะมีความน่าเป็นห่วงอะไรหรือไม่ นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า ทั้ง 2 องค์กรไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ในขณะเดียวกันในข้อต่อสู้ของทีมกฎหมาย 2 ประเทศ ก่อนที่จะมีการถอนตัวก็อาจจะมีการใช้มติคณะกรรมการมรดกโลกไปตอสู้ในศาลโลก โดยทางกัมพูชาได้ แต่เมื่อมติไม่มีแล้ว ช่องทางดังกล่าวก็ถูกปิดลง ข้อต่อสู้ก็เป็นเรื่องข้อเท็จจริงที่ทั้ง 2 ประเทศต้องชี้แจง
ส่ในการตัดสินใจเช่นนี้จะดูเหมือนว่าเป็นการเปิดศึกกับประเทศเพื่อนบ้านหรือไม่ นพ.บุรณัชย์กล่าวว่า ขณะนี้ต้องถือว่าการรักษาอธิปไตยเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าเอาใจ หรือรักษาความสัมพันธ์ที่ดีในระยะสั้น ในระยะยาวต้องสร้างอยู่แล้ว แต่ความสัมพันธ์ที่ดีต้องอยู่บนพื้นฐานการรักษาอธิปไตย ไม่ใช่ยกอธิปไตยเพื่อเอาใจ และหวังที่จะรักษาความสัมพันธ์บนพื้นฐานของการยอมประเทศอื่น แต่ประเทศตัวเองเสียประโยชน์ และหลายฝ่ายก็สังเกตว่า บันทึกความเข้าใจ เมื่อปี 51 ที่นายนพดล ได้ทำไว้นั้น เกิดขึ้นในขณะที่มีข่าวว่ามีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของสัมปทานทางธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านด้วยหรือไม่