xs
xsm
sm
md
lg

“ปานเทพ” จี้ไทยยืนหยัดค้านขึ้นทะเบียน “ประพันธ์” สับรัฐส่ออัปยศกลับลำร่วมมรดกโลก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ นายประพันธ์ คูณมี
โฆษกพันธมิตรฯ ชี้ลาออกมีผลอีก 1 ปี จี้ไทยยืนหยัดคัดค้านขึ้นทะเบียนพระวิหาร ชี้ “สุวิทย์” พูดชัด “มาร์ค” ไม่หนุนลาออกมรดกโลก จี้รับผิดดื้อใช้เอ็มโอยู 43 แนะอย่ากลับเข้าไปอีก เหตุกรรมการมรดกโลกกระทำขัดเจตนาตัวเอง “ประพันธ์” ซัดรัฐส่ออัปยศทบทวนกลับลำเข้าภาคีอีก ชี้ถ้าทำก็คือรัฐบาลขายชาติชัดเจน แนะเคลียร์ปัญหาเขตแดนให้เสร็จก่อน


 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ให้สัมภาษณ์ 

วันนี้ (28 มิ.ย.) ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมด้วยนายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย ร่วมกันแถลงข่าวความคืบหน้ากรณีที่ไทยถอนตัวออกจากภาคีอนุสัญญามรดกโลก ระบุว่า จากการที่พันธมิตรฯ ได้ตรวจสอบเอกสารแล้ว เบื้องต้นทางยูเนสโกแจ้งว่า ฝ่ายไทยได้ใช้อาศัยกฎอนุสัญญามรดกโลก ข้อ 35 ซึ่งก็คือฝ่ายไทยจะทำการบอกเลิกอย่างเป็นทางการเพื่อประกาศไม่ยอมรับการพิจารณาใดๆ ของภาคีอนุสัญญามรดกโลก หลังจากนั้นก็จะใช้เวลาอีก 12 เดือนถึงจะมีการถอนตัวจริง ในระหว่างนี้ฝ่ายไทยจะต้องยืนหยัดในสิ่งที่ได้ดำเนินการมาตั้งแต่เป็นฝ่ายค้านว่าคัดค้านแม้กระทั่งการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร และพื้นที่รอบๆ และขอบปราสาทเป็นมรดกโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เคยกล่าวไว้ตอนเป็นฝ่ายค้าน ในขณะนี้พอมาเป็นรัฐบาลแล้ว ล่าสุดเราได้เอกสารมาจากนางอิรินา โบโกวา ผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโก ซึ่งได้ออกแถลงการณ์แก้ตัวกับฝ่ายไทยว่า ไม่ได้มีการพิจารณาแผนบริหารจัดการใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเพียงแค่พิจารณาในการที่จะออกมาตรการป้องกันและอนุรักษ์ทรัพย์สินปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบ หลังจากที่นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยได้ถอนตัวเรียบร้อยแล้ว โดยเรียกร้องให้ไทยและกัมพูชาได้อาศัยเวทีในเรื่องของมรดกโลกในการเจรจาพูดคุยกับกัมพูชาต่อไป

นายปานเทพกล่าวว่า ทั้งนี้ เอกสารชิ้นดังกล่าวทราบว่านางอิรินาได้ยื่นต่อนายอภิสิทธิ์ ผ่านทางยูเนสโกในประเทศไทย โดยที่ทราบมาว่านายอภิสิทธิ์ได้แสดงเอกสารการแก้ตัวจากยูเนสโกทางสื่อมวลชน และจะนำเรื่องนี้นำเข้าสู่คณะรัฐมนตรี โดยที่นายปณิธาน วัฒนายากร ในฐานะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีก็ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่าฝ่ายไทยอาจจะทบทวนการถอนตัวออกจากมรดกโลก เมื่อท่าทีดีขึ้นจึงเห็นว่าการถอนตัวออกจากมรดกโลกผ่านการตัดสินใจโดยนายสุวิทย์ครั้งนี้ ปรากฏชัดเจนจากคำสัมภาษณ์ของนายสุวิทย์ว่า นายอภิสิทธิ์ไม่ได้เห็นด้วยเลย แต่อาศัยว่านายสุวิทย์มีมติคณะรัฐมนตรีที่ให้อำนาจเต็มในการตัดสินใจไปแล้ว

“แต่กรณีนี้ดูเหมือนว่ารัฐบาลพยายามที่จะเดินหน้ามรดกโลกต่อ โดยที่อาศัยว่าสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการที่จะทำให้ประชาชนรับรู้ ก็คือ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตทางบกแดนไทย-กัมพูชา ปี 2543 หรือเอ็มโอยู 2543 มันล้มเหลวในการขัดขวางในเวทีคณะกรรมการมรดกโลก ไม่มีชาติไหนเขาเชื่อถือเอ็มโอยู 2543 ของฝ่ายไทย ไม่มีใครเขาฟัง แสดงว่าอำนาจต่อรองเกิดขึ้นเพียงเพราะว่าไทยถอนตัวออกจากมรดกโลกเป็นสาเหตุสำคัญ นายอภิสิทธิ์ ไม่มีสิทธิ์จะอ้างเรื่องเอ็มโอยู 2543 อีกต่อไปแล้ว เป็นสิ่งที่นายอภิสิทธิ์จะต้องรับผิดชอบกับการยืนยันที่จะใช้เอ็มโอยู 2543 แล้วล้มเหลวในเวทีมรดกโลก โดยต้องเปลี่ยนไปใช้มาตรการ โดยที่นายสุวิทย์ต้องถอนตัวออกจากมรดกโลกโดยทันที” นายปานเทพกล่าว

โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวต่อว่า เมื่อทางยูเนสโกได้ส่งหนังสือมา เห็นว่าฝ่ายไทยไม่ควรจะกลับเข้าไปอีก สืบเนื่องมาจากเมื่อรัฐบาลมาจากรัฐบาลที่ตอนที่เป็นฝ่ายค้านได้คัดค้านแม้กระทั่งการขึ้นทะเบียนตัวปราสาทพระวิหาร ก็จะต้องยืนยัน ไม่ใช่ไปเดินหน้ารับรับรองการอนุรักษ์การจัดการ ทั้งที่การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารและพื้นที่ขอบๆ ไปด้วยยังคงอยู่เหมือนเดิม มีการฝ่าฝืนต่อศาลปกครองสูงสุด และศาลรัฐธรรมนูญของไทยว่าแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชานั้นเป็นแถลงการณ์ร่วมที่ไม่ถูกต้อง เพราะไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภา ที่สำคัญยูเนสโกโดยเฉพาะคณะกรรมการมรดกโลกได้ฝ่าฝืนมติของตัวเอง ว่าต้องได้รับความเห็นชอบจากฝ่ายไทยด้วย

“กรณีนี้ถือได้ว่าทางคณะกรรมการมรดกโลกได้หมดความชอบธรรมแล้ว ที่ฝ่ายไทยจะยังคงธำรงอยู่ หรือว่ายังคงสถานภาพการเป็นภาคีสมาชิก และการถอนตัวนั้นฝ่ายคณะรัฐมนตรีจะต้องยืนยันเหมือนเดิม ไม่ใช่เป็นอย่างที่นายอภิสิทธิ์ หรือนายปณิธาน อ้างคลุมเครือว่าอาจจะมีขึ้นไม่ได้ ต้องยืนยันให้ชัดเจนว่าเราไม่ได้เห็นด้วย และเราก็ถอนตัวแล้ว สืบเนื่องมาจากว่าการขึ้นทะเบียนที่ผ่านมานั้นเป็นการขึ้นทะเบียนที่ขัดต่อมติคณะกรรมการมรดกโลกเอง ขัดต่อเจตนารมณ์และธรรมนูญของยูเนสโก ที่ก่อให้เกิดความรุนแรง ทำลายสันติภาพในภูมิภาคนี้ เราหวังว่าคณะรัฐมนตรีจะมีมติยืนยันในการถอนตัวต่อไป” นายปานเทพกล่าว

ด้าน นายประพันธ์กล่าวว่า การขึ้นทะเบียนมรดกโลกของกัมพูชาครั้งนี้ จะเห็นได้ว่าเป็นการขัดและแย้งต่อหลักการของอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลก มาตราที่ 11 อย่างชัดแจ้งมาตั้งแต่ต้นแล้ว ซึ่งมาตรา 11 ข้อ 3 ระบุว่า ในการพิจารณาบรรจุทรัพย์สมบัติหรือทรัพย์สินที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม และมรดกทางธรรมชาติให้อยู่ในบัญชีรายชื่อมรดกโลก จะต้องได้รับความยินยอมจากรัฐภาคีที่เกี่ยวข้อง ในกรณีที่ทรัพย์สมบัติหรือทรัพย์สินที่จะพิจารณาบรรจุไว้ในบัญชีรายชื่อมรดกโลก มีที่ตั้งอยู่ในอาณาเขตหรืออำนาจอธิปไตย หรือเขตอำนาจศาลมากกว่า 1 รัฐ จะต้องไม่เป็นเหตุให้เกิดการโต้แย้งจากรัฐภาคีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ฝ่ายกัมพูชาได้อ้างเอ็มโอยู 2543 ซึ่งใครไปอ่านทั่วโลกก็เป็นที่ยอมรับว่ารัฐบาลที่ไปทำเอ็มโอยู 2543 ไปยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ให้กัมพูชานำมาอ้างในการที่จะกำหนดการสำรวจและปักปันเขตแดนขึ้นมาใหม่ โดยฝ่ายไทยอ้างสนธิสัญญา ฝ่ายกัมพูชาอ้างแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ทั้งสองฝ่ายทำหลักฐานทั้งสองไปทำงานร่วมกันเพื่อจัดตั้งคณะกรรมการสำรวจ ปักปันเขตแดน เมื่อเป็นเช่นนี้กัมพูชาจึงต้องอ้างเอ็มโอยู 2543 ว่าพื้นที่ปราสาทพระวิหารและบริเวณโดยรอบถ้าพิจารณาตามแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ตามเอ็มโอยูแล้วอยู่ในเขตของกัมพูชา แต่ไทยก็ยังโต้แย้งว่าตามสนธิสัญญานี้ไม่ใช่ เป็นพื้นที่ของไทย และการสำรวจปักปันเขตแดนได้จบสิ้นไปแล้ว แสดงว่าการขึ้นทะเบียนมรดกโลกในกรณีนี้ข้อโต้แย้งเรื่องปัญหาดินแดน เอกราช อธิปไตยมาตั้งแต่ต้น และไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการมรดกโลกจะสามารถยอมรับให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกได้

นายประพันธ์กล่าวต่อว่า ตนเชื่อว่านายสุวิทย์ได้ทำหน้าที่ในการที่จะยืนยันเรื่องนี้ว่าถ้าหากจะมีการขึ้นทะเบียนมรดกโลกในกรณีปราสาทพระวิหารนี้ จะต้องมีการตกลงและพูดคุยกันเรื่องปัญหาเส้นเขตแดนให้เป็นที่ยุติเสียก่อน แต่กระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาลนายอภิสิทธิ์นั้นพยายามจะทำเรื่องนี้ให้เป็นลักษณะสมประโยชน์กับฝ่ายกัมพูชา และสมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มาโดยตลอด แม้กระทั่งวันนี้ที่นายสุวิทย์ ได้ยื่นหนังสือเพื่อลาออกจากการเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลกแล้ว รัฐบาลก็ยังมีความพยายามที่จะทำให้เรื่องนี้กลับคืนไปสู่สถานะเดิม คือกลับคืนไปสู่วาระการพิจารณา เพื่อรับรองการขึ้นทะเบียนมรดกโลกของกัมพูชาให้เดินหน้าต่อไปโดยมาตรา 35 ของกฎอนุสัญญามรดกโลก ที่นายสุวิทย์ ยื่นหนังสือลาออกนั้น ประเทศรัฐภาคีมีสิทธิจะบอกเลิกการเป็นสมาชิกในอนุสัญญานี้ได้ ประการต่อมาเหตุผลที่เรามีสิทธิและเหตุผลที่เราเลิกก็อย่างที่นายสุวิทย์แถลงไปแล้ว และการบอกเลิกต้องกระทำเป็นลายลักษณ์อักษร เสนอต่อผู้อำนวยการใหญ่ของยูเนสโก วันนี้ยื่นไปแล้ว แล้วยูเนสโกพยายามมาล็อบบี้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ให้กลับลำกลับเข้าไป และ ครม.กำลังมีการประชุมเพื่อทบทวนเรื่องนี้

นายประพันธ์กล่าวอีกว่า ตนคิดว่าเรื่องนี้เป็นความอัปยศและเป็นเรื่องที่ควรประณามนายอภิสิทธิ์และรัฐบาลอย่างยิ่ง ในขณะที่ประชาชนไทยและนายสุวิทย์ทำหน้าที่เพื่อปกป้องเอกราช อธิปไตย และถอนเรื่องนี้เพราะเห็นว่าถ้าหากเดินหน้าต่อไปนั้นเราเสียดินแดน และถูกผนวกพื้นที่บริเวณโดยรอบปราสาทไปเป็นส่วนหนึ่งของแผนบริหารจัดการ ในการขึ้นทะเบียนมรดกโลกของกัมพูชาแน่ และเรื่องนี้มีบรรจุอยู่ในวาระการประชุม และที่ประชุมก็ดึงดันจะนำเข้าที่ประชุม โดยไม่ฟังเสัยงคัดค้านนายสุวิทย์และคณะผู้แทนไทย นายสุวิทย์ และนายเทพมนตรี ลิมปพยอม ในฐานะผู้สังเกตการณ์ไปร่วมประชุมก็ยืนยันในเรื่องนี้

“ทำไมนายอภิสิทธิ์ถึงพยายามที่จะทำเรื่องนี้ให้กลายเป็นเรื่องที่กลับคืนไปสู่สถานะเดิม คือจะทบทวนการถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลก ผมถือว่าการที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์จะมาทบทวนเรื่องนี้ด้วยการที่ยูเนสโกมาล็อบบี้นั้น เท่ากับเป็นการกลืนน้ำลายกลับลำ และเป็นการทรยศต่อประเทศชาติ และประชาชน เท่ากับเป็นการไปยอมรับดำเนินกระบวนการที่จะนำไปสู่การขายชาติขายแผ่นดิน ที่คนอย่างนายอภิสิทธิ์ไม่สมควรที่จะกระทำเรื่องนี้” นายประพันธ์กล่าว

นายประพันธ์กล่าวต่อว่า การออกจากภาคีมรดกโลกนั้นจะมีผลในอีก 12 เดือนข้างหน้าก็จริง ในระหว่างนี้อาจจะทำให้รัฐบาลเกิดการเปลี่ยนแปลง หรือมีการกลับเข้าไปในจังหวะเวลานี้ ย่อมเป็นการที่ไม่เหมาะสม เพราะเราเพิ่งประกาศถอนตัวออกมา และทางฝ่ายกัมพูชา ยูเนสโก และคณะกรรมการมรดกโลกยังไมีมีท่าทีที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ไปในทิศทางที่จะเป็นไปตามข้อเรียกร้องของประเทศไทยเลย ก่อนจะพิจารณาเรื่องการขึ้นทะเบียนมรดกโลกปราสาทพระวิหารนั้นจะต้องพิจารณาเรื่องปัญหาเขตแดนและข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา ให้ได้ข้อยุติเสียก่อน มิฉะนั้นก็จะขัดกับอนุสัญญามรดกโลกและขัดกับหลักปณิธานของยูเนสโกที่จะส่งเสริมสันติภาพและความสามัคคีในภูมิภาค เพราะเห็นได้ชัดว่าเป็นกรณีที่มีข้อพิพาทขัดแย้งถึงขนาดสู้รบกันในพื้นที่นั้นมาแล้ว ทั้งนี้ หากไทยประสงค์จะกลับเข้าไปเป็นภาคีมรดกโลกอีกครั้งหนึ่ง สามารถเข้าร่วมเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะยูเนสโกอยากได้ประเทศต่างๆ ไปเป็นลูกค้าเขาอยู่แล้ว ไม่ใช่องค์กรยิ่งใหญ่ที่เราจำเป็นต้องเข้า แม้เราไม่เข้าเป็นภาคีมรดกโลก สถานที่ท่องเที่ยวหรือความเจริญทางวัฒนธรรมของไทยก็ขายให้กับคนทั่วโลกได้ มรดกโลกไม่ได้ช่วยทำให้ขายดีขึ้น เป็นแต่เพียงเอาไว้อวดชาวบ้าน ติดป้ายว่าที่นี่เป็นมรดกโลก ถ้าสถานที่นั้นและวัฒนธรรมที่นำไปขึ้นทะเบียนนั้นไม่งดงาม ไม่น่าศึกษา ไม่น่าท่องเที่ยว ก็ไม่มีประชาชนประเทศไหนมาท่องเที่ยวอยู่ดี เราสามารถเดินหน้าพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมได้ด้วยประชาชนของประเทศนั้นๆ โดยไม่จำเป็นต้องไปยอมแลกและเสี่ยงกับการที่จะเสียดินแดนและอธิปไตย

โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรฯ ยังกล่าวว่า หากรัฐบาลจะมีการทบทวนในเรื่องนี้ ตนเห็นว่าจะเป็นความอัปยศที่สุด และจะเป็นเรื่องที่จะต้องประณามว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์นั้นเป็นรัฐบาลขายชาติอย่างแท้จริง และเป็นรัฐบาลที่กระทำความเสียหายด้วยการยินยอมให้เอ็มโอยู 2543 ยังสามารถมีผลบังคับใช้และเป็นหอกที่ทิ่มแทงประเทศชาติ ประชาชนอยู่ตลอดเวลา ข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อที่เราเรียกร้องให้ยกเลิก ถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลก และกดดันคนกัมพูชาและทหารกัมพูชาออกจากดินแดนจึงเป็นข้อเรียกร้องที่มีเหตุผลที่สุด ไม่ว่าใครมาเป็นผู้นำประเทศ ผู้ปกครองประเทศ ถ้าดื้อด้าน ดึงดันในสามข้อนี้ ตนคิดว่าประชาชนจะไม่มีวันยอมอย่างแน่นอน
กำลังโหลดความคิดเห็น