ASTVผู้จัดการรายวัน - "สนธิ” ชำแหละขบวนการโกงชาติ สมรู้ร่วมคิดรับผลประโยชน์กันกว่า 11 ปี อัด “มาร์ค” แค่เด็กส่งของ มอบผลประโยชน์ให้บริษัทน้ำมันข้ามชาติ “ปานเทพ” เชื่อน้อมรับอำนาจศาลโลก ส่อเชิญชาติที่ 3 เข้ามาจุ้น ทนายพันธมิตรฯ ตอกย้ำรัฐบาลมาร์ค เดินตามก้นเขมรขึ้นเวทีศาลโลก
วานนี้ (3 มิ.ย.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวบนเวทีรวมพลังปกป้องแผ่นดินไทยว่า ที่ผ่านมาเราต่อสู้แบบสะเปะสะปะ ที่เราไปตั้งข้อสมุติฐานว่า มีคนโง่โดยบริสุทธิ์ใจ ที่เราจะหาคำตอบไมได้ เราต้องมองทัศนคติด้วยปัญญา เหตุผลของเอ็มโอยู 2543 กว่า 11 ปี ตั้งแต่ปี 2543-2554 เป็นกระบวนการสมรู้ร่วมคิดของนักการเมือง ข้าราชการชั่ว และสมรู้กับเขมร ที่จงใจสร้างเรื่องราวเพื่อให้เขมรได้ให้ใช้แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ที่จะมุ่งไปสู่ขุมทรัพยากรพลังานที่มหาศาล ทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และทองคำที่อยู่ใต้อ่าวไทย
นายอภิสิทธิ์ ไม่ใช่คนโง่ เขาไม่ใช่ไม่รู้ว่า เอ็มโอยู 2543 เป็นการยกดินแดนให้เขมร ก็เพราะว่าอภิสิทธิ์ เป็นคนส่งของให้บริษัทน้ำมัน ให้ต่างชาติเท่านั้น ในปี 2543 สมัยที่นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็น รมว.ต่างประทศ และ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร เป็น รมช.ต่างประเทศ ที่โง่ได้อย่างไร หรือ นายชวน หลีกภัย ที่เป็นนักฎหมาย ไปโง่เซ็นสัญญาเหนือ พ.ร.บ.อุทยานฯ ได้อย่างไร
“เพราะพวกนี้ เป็นกระบวนการเลี้ยงสายพาน จริงๆ กระบวนการนี้ต้องเสร็จสมัยทักษิณ แต่ทักษิณถูกเราไล่ออกนอกประเทศ เราไม่สังเกตหรือว่า สมัยนายชวน มาทักษิณ มาสุรยุทธิ์ นายสมัคร นายสมชายแ และถึงสมัยนายอภิสิทธิ์ ทำไมถึงมัวแต่กอดไม่ยอมยกเลิกเอ็มโอยู 43เลย”
พวกนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการขายชาติกันทั้งกระบวนการ เราต้องใช้ปัญญาคิดให้ดี เราถามว่า “คุณไปเซ็น เอ็มโอยูทำไม เพราะเป็นการมอบแผ่นดินให้เขมร ตนเข้าเวบไซต์บริษัทน้ำมันเชฟรอน ที่ทั่วโลกมียอดขาย 6 ล้านล้านบาท ได้กำไรกว่า 8 แสนล้านบาท มันลงทุนขุดเจาะน้ำมันแสวงหาน้ำมัน ด้วยงบประมาณ 1 แสนล้านเหรีญสหรัญทั่วโลก เท่ากับ 3 ล้านล้านบาท กระบวนการเช่นนี้เป็นการหว่าน ลงทุนโดยใช้เวลาไม่รีบร้อน แต่เมื่อหว่านลงไปแล้วเดินหน้าไปแล้ว ไม่ว่าเปลี่ยนรัฐบาลก็จะไม่หยุดยั้ง
“ทุนในประะทศที่เปลี่ยนรัฐบาลจะต้องถูกหักดิบทุกครั้ง แต่เรื่องนี้กลับไม่มีใครแตะเอ็มโอยู 2543 เลย แม้แต่นิดเดียว เป็นนักการเมือง และข้าราชการ ที่สมรู้ร่วมคิดกับเขมร เป็นกระบวนการขายชาติ ดังนั้นการโหวตโน ก็คือ ไม่เอาพวกขายชาติขายแผ่นดินแม้แต่คนเดียว”นายสนธิกล่าว
นายสนธิ กล่าวว่า นโยบายพลังงานของสหรัฐฯ เรื่องของความมั่นคง ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะกำหนดนโยบายต่างประทศ เพราะที่ไหนมีพลังงาน ที่นั้นต้องมีอเมริกาตลอดเวลา นี้เฉพาะเชฟรอน ถ้ารวมเชลล์ บีพี ก็จะมากกว่างบประมาณแผ่นดินของไทยเกือบ 30 เท่า เงินที่หว่าน 1-2 หมื่นล้าน พวกนี้มันไม่ยี่หระแม้แต่นิดเดียว แค่ฐานขุดเจาะน้ำมัน มันก็แค่ 5-6 ร้อยล้านเหรียญสหรัฐ รวมถึงมีการวางแผนและซื้อตัวคนตั้งแท่นเอ็มโอยู 2543 จนมาถึงปัจจุบันนี้ไว้แล้ว
ทั้งนี้ ที่อเมริกาเข้าไปยึดอัฟานิสถาน ก็เพราะเรื่องที่บริษัทยูโนแคลไม่สามารถผ่านท่อน้ำมันผ่านอัฟกานิสถานได้ ด้วยเหตุนี้จึงหาเรื่องยึดอัฟกานิสถาน โดยตั้งนายกรัฐมนตรี อดีตคนบริษัทยูโนแคล เข้ามาปกครงอประเทศ มันใช้เงิน 1 ล้าน 2 แสนล้านบาท เพื่อยึดบ่อน้ำมันในอิรัก โดยเป็นการยึดบ่อน้ำมันเอาไว้เป็นของตัวเอง
โดยเรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของนายฮุนเซนหรือนายอภิสิทธิ์ ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายของน้ำมัน แต่จริงๆแล้ว ตนพูดมานานแล้ว เพราะหน้าที่ของนายอภิสิทธิ์ เพียงทำหน้าที่เด็กส่งของเท่านั้น
“ฮุนเซนมันชั่ว มันช่วยจนสามารถที่เซ็นสัญญากับอเมริกาได้ แต่กับประเทศไทย เรามีพันธมิตรฯที่ออกมาคัดค้านพวกมันจนทำอะไรไม่ได้”
นายสนธิกล่าวว่า ฝรั่งมันรักผลประโยชน์ของมันเท่านั้น โดยเฉพาะช่วงทักษิณ ที่อัลฟาเยดบินมาหาเพราะรับรู้ข้อมูลเชิงลึกว่า มีพลังงานจำนวนมาก ทักษิณยังไม่สามารถมอบให้ได้จึงบอกว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน โดยเฉพาะในสมัย นพ.พรหมมินทร์ รมว.พลังงาน สมัยทักษิณ ได้แอบเซ็นสัมปทาน พลังงานแปลง 5-9 ในอ่าวไทย โดยเป็นบริษัทที่จดทะเบียน บนหมู่เกาะเคย์แมน ที่ทักษิณเคยไปซ่อนเงินไว้ โดยเขาจะใช้ตัวแทนจดทะเบียน เนื่องจากจะไม่มีวันรู้ว่าใครเป็นเจ้าของ และพื้นที่สัมปทานนั้นเมื่อติดกับพื้นที่ทับซ้อนที่ไทย-เขมร ขัดแย้งกันอยู่ และเมื่อใดที่พื้นที่ทับซ้อนแปลงนั้นนำไปสู่ผลประโยชน์จะมีมูลค่าเท่าใด
"นี่คือการโกงระดับชาติและทำไมต้องเป็น 1 ต่อ 2 แสน หรือที่มันอยากได้ปราสาทต่าง ๆ มันก็แค่เกมที่ฮุนเซนต้องการเล่นกับคนเขมรที่โง่ไม่ต่างกับคนไทยบางพวก และทำไมเขมรร้อยพันปี ก็ไม่เคยทะเลาะกับเรา แต่มาทะเลาะในช่วงนี้ ก็เพราะเอ็มโอยู 2543 กำลังจะมีผล เพราะฝรั่งมันบายไลน์ งานไว้ให้แล้ว ก็คือจุดที่ต้องเก็บเงินวางบิล ทำไมเราไม่ประหลาดใจที่นายทหารไม่เคยขยับเลย เพราะพวกทหารระดับบนมันรับเงิน รับทองไปหมดแล้ว” นายสนธิย้ำและว่า เพราะฝรังมันก็แค่หวังรวย ประเทศอื่นจะฉิบหายช่างมัน
นายสนธิกล่าวว่า ไม่มีเหตุผลที่เขมรจะขึ้นปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกในขณะนี้ ก็เพราะมันถูกบล็อกมติด้วยศาลโลก ปี 2505ที่จะนำประเด็นนี้มาฮุบพื้นที่ ต้องการเป็นเรื่องของพื้นที่ 4.6 ตร.ม. นำมาขึ้นทะเบียนให้สมบูรณ์แบบที่มันจะได้อ้างว่า เมื่อมีการยอมรับพื้นที่ 1 ต่อ 2 แสนแล้ว จะเขาไปสู่จุดส่งของจุดที่สอง คือ ขึ้นทะเบียนมรดกโลก เพื่อสร้างเส้นลงทะเล เป็นจุดส่งของในจุดที่สาม ก่อนที่จะให้สัมปทานให้กับพวกมันเป็นจุดสุดท้าย
หรือการรบกันที่ผ่านมาก็เป็นแค่ละคร ที่พร้อมจะส่งมอบดินแดนให้กับเขมรเท่านั้น
**ปานเทพหน่ายท่าที “กษิต”ต่อศาลโลก
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีที่นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ระบุว่า การพิจารณาคดีเป็นดุลยพินิจของศาลโลก ส่วนการบังคับใช้เป็นหน้าที่ของสหประชาชาติ หากไทยไม่ยอมรับก็ต้องไปต่อสู้ในชั้นของสหประชาชาติ ว่า จุดยืนดังกล่าวแสดงว่าไทยกำลังยอมรับอำนาจของศาลโลก ซึ่งเป็นความเสี่ยงว่า ศาลอาจมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเกิดตามคำร้องของกัมพูชา
ขณะเดียวกันการที่กระทรวงการต่างประเทศไม่ยืนยันเรื่องเส้นเขตแดนให้ชัดเจนในการต่อสู้ ทำให้ไม่สามารถใช้กฎบัตรสหประชาชาติห้ามไม่ให้ประเทศที่ 3 เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการของไทยได้ รวมทั้งประเทศอาเซียนที่อาจเข้ามาแทรกแซงได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะทำให้ไทยยิ่งเสียเปรียบ
อย่างไรก็ตามเห็นว่า การโหวตโน จะเป็นการแสดงสัญลักษณ์และหลักฐานว่า ภาคประชาชนไม่ยอมรับอำนาจของศาลโลกหากมีการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐเกิดขึ้น
** ทนายพธม.ตอกย้ำมาร์คเดินตามก้นเขมร
นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรกล่าวบนเวทีเสวนา รวมพลังปกป้องแผ่นดินไทย ถึงความผิดพลาดรัฐบาลไทย ได้ส่งตัวแทนไปต่อสู้คดี หลังกัมพูชาขอคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ในพื้นที่ 4.6 ตร.กม.รอบปราสาทพระวิหารในเวทีศาลโลก ซึ่งถือว่าเป็นการเดินเกมตามก้นของกัมพูชา ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการแพ้คดี ทั้งที่การชุมนุมของพันธมิตรฯ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลถอนตัวจากคณะกรรมการมรดกโลก เพื่อยุติปัญหาแต่ก็ไม่ฟัง ข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ จึงเปรียบเสมือนสีซอให้ควายฟัง
“ย้ำว่า ศาลโลกไม่ใช่ศาลยุติธรรม มีแต่การเดินเกมล็อบบี้ เหตุที่เขมรยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว เพื่อให้ไทยถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่บริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหาร โดยเปิดฉากยิงถล่มไทยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ล้วนเป็นจัดฉากเพื่อฟ้องสหประชาชาติ แล้วกล่าวหาว่า ไทยเป็นฝ่ายรุกรานก่อน แต่รัฐบาลอ่านเกม ไม่มองมัว แต่ยึดหลักเจรจา ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเกมของกัมพูชาที่ต้องการนำปัญหาระดับทวิภาคีขึ้นสู่เวทีโลก เพราะฮุนเซนมั่นใจว่ามีแต่ได้กับเสมอตัว แต่ไทยมีแต่เสียกับเสีย แม้ศาลโลกจะยกคำร้อง แต่เท่ากับเป็นการประกาศให้โลกรู้แล้วว่าไทยไปรุกรานประเทศที่เล็กกว่า แต่หากศาลโลกสั่งให้มีคำขอคุ้มครอง เท่ากับเรายกพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ให้กัมพูชาทั้งหมด และมั่นใจว่า หากศาลโลกวินิจฉัยเข้าทางกัมพูชา ไทยจะต้องเจอกับการรุกรานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ มัวแต่ยึดหลักเจรจา แต่อ่านใจศัตรูไม่ออก” นายสุวัตร กล่าวทิ้งท้าย
**มาร์คไม่สนเขมรปูดแพ้คดีศาลโลก
ที่ตลาดคลองเตย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายฮอร์ นัม ฮง รมว.ต่างประเทศกัมพูชาออกมาระบุว่ากัมพูชาอาจจะแพ้คดีปราสาทพระวิหารในศาลโลกว่า เวลานี้ไม่มีใครทราบต้องรอการวินิจฉัยของศาลโลก แต่เราถือว่าได้ยืนยันจุดยืนของประเทศไทยชัดเจนที่บอกว่าปัญหาคำพิพากษาปี 2505นั้นไม่มี เราปฏิบัติครบถ้วนไปตั้งแต่ยุคนั้นเป็นต้นมา รัฐบาลขณะนั้นได้ทำรั้วลวดหนามกั้นชัดเจน กัมพูชาก็ยอมรับดังนั้นเรื่องต้องจบ
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายฮอร์ นัม ฮง ถึงแม้กัมพูชาจะแพ้คดีก็ไม่เสียหายอะไรต่อกัมพูชาพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารยังเป็นของกัมพูชาอยู่ดีเพราะศาลโลกวินิจฉัยปี 2505 ใช้แผนที่ 1:200,000 เป็นองค์ประกอบในการพิจารณา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไปพูดล่วงหน้าไม่ได้หรอก เราต้องดูคำวินิจฉัยของศาลว่าอย่างไร แต่ถ้าศาลไม่รับสิ่งที่กัมพูชาร้องขอยิ่งเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่ศาลตัดสินไว้ตอนนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยกับเรื่องของเขตแดนแผนที่ ซึ่งตัดสินเฉพาะตัวปราสาทและเราปฏิบัติตามศาลครบถ้วนไปแล้ว เรายืนยันสิทธิพื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นของไทย แต่ทั้งหมดต้องไปดูคำวินิจฉัยของศาลว่าเป็นอย่างไร
**ขอบคุณ พธม.หาทางลง 29 มิ.ย.
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกรณีพันธมิตรฯประกาศยุติชุมนุมในวันที่ 29 มิ.ย.นี้ ว่าถ้ายุติการชุมนุมตนก็ขอบคุณ และขอยืนยันว่าสิ่งที่ห่วงใยโดยเฉพาะเรื่องกัมพูชานั้นตนและพรรคประชาธิปัตย์เราเดินหน้าปกป้องอธิปไตยเต็มที่ เราอาจจะเห็นไม่ตรงกันว่าวิธีการที่จะปกป้องควรทำอย่างไร แต่ไม่ควรมีข้อสงสัยเลยว่ารัฐบาลนี้ ตนและพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรอย่างอื่น และเห็นชัดเจนว่ากัมพูชาไม่พอใจ เพราะเราปกป้องสิทธิของคนไทย
พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงการเตรียมข้อมูลการปะทะบริเวณชายแดนไทย -กัมพูชา เพื่อยื่นต่อศาลโลกในวันที่ 7 มิ.ย.นี้ ว่า เรามีข้อมูลหลักฐาน ครบอยู่แล้ว กำลังทำให้กระชับขึ้น ที่ได้เตรียมการและนำไปชี้แจงต่อยูเนสโก้ก่อนหน้านี้ เป็นหลักฐานหนัก 10 กิโลกรัม ซึ่งไม่สามารถดูได้ทัน ก็จะทำเป็นวีดีโอคลิป บางส่วนมีการแปลภาษาแล้ว และ บางส่วนยังไม่ได้มีการแปล จากข้อมูลที่มีอยู่ตนมั่นใจ อีกทั้งประธานยูเนสโก้ ก็เห็นด้วยกับไทยบางประเด็น เพราะข้อมูลที่เราให้ไปเป็นของจริง ไม่ได้โกหก ซึ่งเหตุที่เกิดขึ้นฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน มีการโจมตีพื้นที่พลเรือนของไทย แต่อีกฝ่ายเขาจะโกหกหรือไม่ ก็คงต้องนำสืบดูด้วย
เมื่อถามว่า เกรงว่ากัมพูชาจะแสดงหลักฐานเท็จหรือไม่ พล.ท.ธวัชชัย กล่าวว่า ก็ต้องพิสูจน์กัน จากตรงนี้คงต้องเหนื่อยคนอื่น เพราะปีนี้ก็เป็นปีที่ 3 แล้ว ได้ไปขอร้องให้มีการเลื่อนการพิจารณาแผนบริหารจัดการมาหลายครั้งแล้ว ไม่เป็นไร คงต้องสู้กันไป
ส่วนสถานการณ์ชายแดนด้าน จังหวัดศรีสะเกษ และ จังหวัดสุรินทร์นั้น พล.ท.ธวัชชัย กล่าวว่า กัมพูชามีการดัดแปลงฐานที่มั่น แต่ยืนยันว่าไทยไม่ยิงก่อน ถ้าเขายิงก่อนเราก็สวนเท่านั้นเอง ก็ไม่มีปัญหา ซึ่งเรื่องดังกล่าว ผบ.ทบ.ก็ให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด.
วานนี้ (3 มิ.ย.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวบนเวทีรวมพลังปกป้องแผ่นดินไทยว่า ที่ผ่านมาเราต่อสู้แบบสะเปะสะปะ ที่เราไปตั้งข้อสมุติฐานว่า มีคนโง่โดยบริสุทธิ์ใจ ที่เราจะหาคำตอบไมได้ เราต้องมองทัศนคติด้วยปัญญา เหตุผลของเอ็มโอยู 2543 กว่า 11 ปี ตั้งแต่ปี 2543-2554 เป็นกระบวนการสมรู้ร่วมคิดของนักการเมือง ข้าราชการชั่ว และสมรู้กับเขมร ที่จงใจสร้างเรื่องราวเพื่อให้เขมรได้ให้ใช้แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ที่จะมุ่งไปสู่ขุมทรัพยากรพลังานที่มหาศาล ทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และทองคำที่อยู่ใต้อ่าวไทย
นายอภิสิทธิ์ ไม่ใช่คนโง่ เขาไม่ใช่ไม่รู้ว่า เอ็มโอยู 2543 เป็นการยกดินแดนให้เขมร ก็เพราะว่าอภิสิทธิ์ เป็นคนส่งของให้บริษัทน้ำมัน ให้ต่างชาติเท่านั้น ในปี 2543 สมัยที่นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็น รมว.ต่างประทศ และ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร เป็น รมช.ต่างประเทศ ที่โง่ได้อย่างไร หรือ นายชวน หลีกภัย ที่เป็นนักฎหมาย ไปโง่เซ็นสัญญาเหนือ พ.ร.บ.อุทยานฯ ได้อย่างไร
“เพราะพวกนี้ เป็นกระบวนการเลี้ยงสายพาน จริงๆ กระบวนการนี้ต้องเสร็จสมัยทักษิณ แต่ทักษิณถูกเราไล่ออกนอกประเทศ เราไม่สังเกตหรือว่า สมัยนายชวน มาทักษิณ มาสุรยุทธิ์ นายสมัคร นายสมชายแ และถึงสมัยนายอภิสิทธิ์ ทำไมถึงมัวแต่กอดไม่ยอมยกเลิกเอ็มโอยู 43เลย”
พวกนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการขายชาติกันทั้งกระบวนการ เราต้องใช้ปัญญาคิดให้ดี เราถามว่า “คุณไปเซ็น เอ็มโอยูทำไม เพราะเป็นการมอบแผ่นดินให้เขมร ตนเข้าเวบไซต์บริษัทน้ำมันเชฟรอน ที่ทั่วโลกมียอดขาย 6 ล้านล้านบาท ได้กำไรกว่า 8 แสนล้านบาท มันลงทุนขุดเจาะน้ำมันแสวงหาน้ำมัน ด้วยงบประมาณ 1 แสนล้านเหรีญสหรัญทั่วโลก เท่ากับ 3 ล้านล้านบาท กระบวนการเช่นนี้เป็นการหว่าน ลงทุนโดยใช้เวลาไม่รีบร้อน แต่เมื่อหว่านลงไปแล้วเดินหน้าไปแล้ว ไม่ว่าเปลี่ยนรัฐบาลก็จะไม่หยุดยั้ง
“ทุนในประะทศที่เปลี่ยนรัฐบาลจะต้องถูกหักดิบทุกครั้ง แต่เรื่องนี้กลับไม่มีใครแตะเอ็มโอยู 2543 เลย แม้แต่นิดเดียว เป็นนักการเมือง และข้าราชการ ที่สมรู้ร่วมคิดกับเขมร เป็นกระบวนการขายชาติ ดังนั้นการโหวตโน ก็คือ ไม่เอาพวกขายชาติขายแผ่นดินแม้แต่คนเดียว”นายสนธิกล่าว
นายสนธิ กล่าวว่า นโยบายพลังงานของสหรัฐฯ เรื่องของความมั่นคง ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะกำหนดนโยบายต่างประทศ เพราะที่ไหนมีพลังงาน ที่นั้นต้องมีอเมริกาตลอดเวลา นี้เฉพาะเชฟรอน ถ้ารวมเชลล์ บีพี ก็จะมากกว่างบประมาณแผ่นดินของไทยเกือบ 30 เท่า เงินที่หว่าน 1-2 หมื่นล้าน พวกนี้มันไม่ยี่หระแม้แต่นิดเดียว แค่ฐานขุดเจาะน้ำมัน มันก็แค่ 5-6 ร้อยล้านเหรียญสหรัฐ รวมถึงมีการวางแผนและซื้อตัวคนตั้งแท่นเอ็มโอยู 2543 จนมาถึงปัจจุบันนี้ไว้แล้ว
ทั้งนี้ ที่อเมริกาเข้าไปยึดอัฟานิสถาน ก็เพราะเรื่องที่บริษัทยูโนแคลไม่สามารถผ่านท่อน้ำมันผ่านอัฟกานิสถานได้ ด้วยเหตุนี้จึงหาเรื่องยึดอัฟกานิสถาน โดยตั้งนายกรัฐมนตรี อดีตคนบริษัทยูโนแคล เข้ามาปกครงอประเทศ มันใช้เงิน 1 ล้าน 2 แสนล้านบาท เพื่อยึดบ่อน้ำมันในอิรัก โดยเป็นการยึดบ่อน้ำมันเอาไว้เป็นของตัวเอง
โดยเรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของนายฮุนเซนหรือนายอภิสิทธิ์ ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายของน้ำมัน แต่จริงๆแล้ว ตนพูดมานานแล้ว เพราะหน้าที่ของนายอภิสิทธิ์ เพียงทำหน้าที่เด็กส่งของเท่านั้น
“ฮุนเซนมันชั่ว มันช่วยจนสามารถที่เซ็นสัญญากับอเมริกาได้ แต่กับประเทศไทย เรามีพันธมิตรฯที่ออกมาคัดค้านพวกมันจนทำอะไรไม่ได้”
นายสนธิกล่าวว่า ฝรั่งมันรักผลประโยชน์ของมันเท่านั้น โดยเฉพาะช่วงทักษิณ ที่อัลฟาเยดบินมาหาเพราะรับรู้ข้อมูลเชิงลึกว่า มีพลังงานจำนวนมาก ทักษิณยังไม่สามารถมอบให้ได้จึงบอกว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน โดยเฉพาะในสมัย นพ.พรหมมินทร์ รมว.พลังงาน สมัยทักษิณ ได้แอบเซ็นสัมปทาน พลังงานแปลง 5-9 ในอ่าวไทย โดยเป็นบริษัทที่จดทะเบียน บนหมู่เกาะเคย์แมน ที่ทักษิณเคยไปซ่อนเงินไว้ โดยเขาจะใช้ตัวแทนจดทะเบียน เนื่องจากจะไม่มีวันรู้ว่าใครเป็นเจ้าของ และพื้นที่สัมปทานนั้นเมื่อติดกับพื้นที่ทับซ้อนที่ไทย-เขมร ขัดแย้งกันอยู่ และเมื่อใดที่พื้นที่ทับซ้อนแปลงนั้นนำไปสู่ผลประโยชน์จะมีมูลค่าเท่าใด
"นี่คือการโกงระดับชาติและทำไมต้องเป็น 1 ต่อ 2 แสน หรือที่มันอยากได้ปราสาทต่าง ๆ มันก็แค่เกมที่ฮุนเซนต้องการเล่นกับคนเขมรที่โง่ไม่ต่างกับคนไทยบางพวก และทำไมเขมรร้อยพันปี ก็ไม่เคยทะเลาะกับเรา แต่มาทะเลาะในช่วงนี้ ก็เพราะเอ็มโอยู 2543 กำลังจะมีผล เพราะฝรั่งมันบายไลน์ งานไว้ให้แล้ว ก็คือจุดที่ต้องเก็บเงินวางบิล ทำไมเราไม่ประหลาดใจที่นายทหารไม่เคยขยับเลย เพราะพวกทหารระดับบนมันรับเงิน รับทองไปหมดแล้ว” นายสนธิย้ำและว่า เพราะฝรังมันก็แค่หวังรวย ประเทศอื่นจะฉิบหายช่างมัน
นายสนธิกล่าวว่า ไม่มีเหตุผลที่เขมรจะขึ้นปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกในขณะนี้ ก็เพราะมันถูกบล็อกมติด้วยศาลโลก ปี 2505ที่จะนำประเด็นนี้มาฮุบพื้นที่ ต้องการเป็นเรื่องของพื้นที่ 4.6 ตร.ม. นำมาขึ้นทะเบียนให้สมบูรณ์แบบที่มันจะได้อ้างว่า เมื่อมีการยอมรับพื้นที่ 1 ต่อ 2 แสนแล้ว จะเขาไปสู่จุดส่งของจุดที่สอง คือ ขึ้นทะเบียนมรดกโลก เพื่อสร้างเส้นลงทะเล เป็นจุดส่งของในจุดที่สาม ก่อนที่จะให้สัมปทานให้กับพวกมันเป็นจุดสุดท้าย
หรือการรบกันที่ผ่านมาก็เป็นแค่ละคร ที่พร้อมจะส่งมอบดินแดนให้กับเขมรเท่านั้น
**ปานเทพหน่ายท่าที “กษิต”ต่อศาลโลก
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีที่นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ระบุว่า การพิจารณาคดีเป็นดุลยพินิจของศาลโลก ส่วนการบังคับใช้เป็นหน้าที่ของสหประชาชาติ หากไทยไม่ยอมรับก็ต้องไปต่อสู้ในชั้นของสหประชาชาติ ว่า จุดยืนดังกล่าวแสดงว่าไทยกำลังยอมรับอำนาจของศาลโลก ซึ่งเป็นความเสี่ยงว่า ศาลอาจมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเกิดตามคำร้องของกัมพูชา
ขณะเดียวกันการที่กระทรวงการต่างประเทศไม่ยืนยันเรื่องเส้นเขตแดนให้ชัดเจนในการต่อสู้ ทำให้ไม่สามารถใช้กฎบัตรสหประชาชาติห้ามไม่ให้ประเทศที่ 3 เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการของไทยได้ รวมทั้งประเทศอาเซียนที่อาจเข้ามาแทรกแซงได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะทำให้ไทยยิ่งเสียเปรียบ
อย่างไรก็ตามเห็นว่า การโหวตโน จะเป็นการแสดงสัญลักษณ์และหลักฐานว่า ภาคประชาชนไม่ยอมรับอำนาจของศาลโลกหากมีการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐเกิดขึ้น
** ทนายพธม.ตอกย้ำมาร์คเดินตามก้นเขมร
นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรกล่าวบนเวทีเสวนา รวมพลังปกป้องแผ่นดินไทย ถึงความผิดพลาดรัฐบาลไทย ได้ส่งตัวแทนไปต่อสู้คดี หลังกัมพูชาขอคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ในพื้นที่ 4.6 ตร.กม.รอบปราสาทพระวิหารในเวทีศาลโลก ซึ่งถือว่าเป็นการเดินเกมตามก้นของกัมพูชา ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการแพ้คดี ทั้งที่การชุมนุมของพันธมิตรฯ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลถอนตัวจากคณะกรรมการมรดกโลก เพื่อยุติปัญหาแต่ก็ไม่ฟัง ข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ จึงเปรียบเสมือนสีซอให้ควายฟัง
“ย้ำว่า ศาลโลกไม่ใช่ศาลยุติธรรม มีแต่การเดินเกมล็อบบี้ เหตุที่เขมรยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว เพื่อให้ไทยถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่บริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหาร โดยเปิดฉากยิงถล่มไทยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ล้วนเป็นจัดฉากเพื่อฟ้องสหประชาชาติ แล้วกล่าวหาว่า ไทยเป็นฝ่ายรุกรานก่อน แต่รัฐบาลอ่านเกม ไม่มองมัว แต่ยึดหลักเจรจา ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเกมของกัมพูชาที่ต้องการนำปัญหาระดับทวิภาคีขึ้นสู่เวทีโลก เพราะฮุนเซนมั่นใจว่ามีแต่ได้กับเสมอตัว แต่ไทยมีแต่เสียกับเสีย แม้ศาลโลกจะยกคำร้อง แต่เท่ากับเป็นการประกาศให้โลกรู้แล้วว่าไทยไปรุกรานประเทศที่เล็กกว่า แต่หากศาลโลกสั่งให้มีคำขอคุ้มครอง เท่ากับเรายกพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ให้กัมพูชาทั้งหมด และมั่นใจว่า หากศาลโลกวินิจฉัยเข้าทางกัมพูชา ไทยจะต้องเจอกับการรุกรานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ มัวแต่ยึดหลักเจรจา แต่อ่านใจศัตรูไม่ออก” นายสุวัตร กล่าวทิ้งท้าย
**มาร์คไม่สนเขมรปูดแพ้คดีศาลโลก
ที่ตลาดคลองเตย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายฮอร์ นัม ฮง รมว.ต่างประเทศกัมพูชาออกมาระบุว่ากัมพูชาอาจจะแพ้คดีปราสาทพระวิหารในศาลโลกว่า เวลานี้ไม่มีใครทราบต้องรอการวินิจฉัยของศาลโลก แต่เราถือว่าได้ยืนยันจุดยืนของประเทศไทยชัดเจนที่บอกว่าปัญหาคำพิพากษาปี 2505นั้นไม่มี เราปฏิบัติครบถ้วนไปตั้งแต่ยุคนั้นเป็นต้นมา รัฐบาลขณะนั้นได้ทำรั้วลวดหนามกั้นชัดเจน กัมพูชาก็ยอมรับดังนั้นเรื่องต้องจบ
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายฮอร์ นัม ฮง ถึงแม้กัมพูชาจะแพ้คดีก็ไม่เสียหายอะไรต่อกัมพูชาพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารยังเป็นของกัมพูชาอยู่ดีเพราะศาลโลกวินิจฉัยปี 2505 ใช้แผนที่ 1:200,000 เป็นองค์ประกอบในการพิจารณา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไปพูดล่วงหน้าไม่ได้หรอก เราต้องดูคำวินิจฉัยของศาลว่าอย่างไร แต่ถ้าศาลไม่รับสิ่งที่กัมพูชาร้องขอยิ่งเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่ศาลตัดสินไว้ตอนนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยกับเรื่องของเขตแดนแผนที่ ซึ่งตัดสินเฉพาะตัวปราสาทและเราปฏิบัติตามศาลครบถ้วนไปแล้ว เรายืนยันสิทธิพื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นของไทย แต่ทั้งหมดต้องไปดูคำวินิจฉัยของศาลว่าเป็นอย่างไร
**ขอบคุณ พธม.หาทางลง 29 มิ.ย.
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกรณีพันธมิตรฯประกาศยุติชุมนุมในวันที่ 29 มิ.ย.นี้ ว่าถ้ายุติการชุมนุมตนก็ขอบคุณ และขอยืนยันว่าสิ่งที่ห่วงใยโดยเฉพาะเรื่องกัมพูชานั้นตนและพรรคประชาธิปัตย์เราเดินหน้าปกป้องอธิปไตยเต็มที่ เราอาจจะเห็นไม่ตรงกันว่าวิธีการที่จะปกป้องควรทำอย่างไร แต่ไม่ควรมีข้อสงสัยเลยว่ารัฐบาลนี้ ตนและพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรอย่างอื่น และเห็นชัดเจนว่ากัมพูชาไม่พอใจ เพราะเราปกป้องสิทธิของคนไทย
พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงการเตรียมข้อมูลการปะทะบริเวณชายแดนไทย -กัมพูชา เพื่อยื่นต่อศาลโลกในวันที่ 7 มิ.ย.นี้ ว่า เรามีข้อมูลหลักฐาน ครบอยู่แล้ว กำลังทำให้กระชับขึ้น ที่ได้เตรียมการและนำไปชี้แจงต่อยูเนสโก้ก่อนหน้านี้ เป็นหลักฐานหนัก 10 กิโลกรัม ซึ่งไม่สามารถดูได้ทัน ก็จะทำเป็นวีดีโอคลิป บางส่วนมีการแปลภาษาแล้ว และ บางส่วนยังไม่ได้มีการแปล จากข้อมูลที่มีอยู่ตนมั่นใจ อีกทั้งประธานยูเนสโก้ ก็เห็นด้วยกับไทยบางประเด็น เพราะข้อมูลที่เราให้ไปเป็นของจริง ไม่ได้โกหก ซึ่งเหตุที่เกิดขึ้นฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน มีการโจมตีพื้นที่พลเรือนของไทย แต่อีกฝ่ายเขาจะโกหกหรือไม่ ก็คงต้องนำสืบดูด้วย
เมื่อถามว่า เกรงว่ากัมพูชาจะแสดงหลักฐานเท็จหรือไม่ พล.ท.ธวัชชัย กล่าวว่า ก็ต้องพิสูจน์กัน จากตรงนี้คงต้องเหนื่อยคนอื่น เพราะปีนี้ก็เป็นปีที่ 3 แล้ว ได้ไปขอร้องให้มีการเลื่อนการพิจารณาแผนบริหารจัดการมาหลายครั้งแล้ว ไม่เป็นไร คงต้องสู้กันไป
ส่วนสถานการณ์ชายแดนด้าน จังหวัดศรีสะเกษ และ จังหวัดสุรินทร์นั้น พล.ท.ธวัชชัย กล่าวว่า กัมพูชามีการดัดแปลงฐานที่มั่น แต่ยืนยันว่าไทยไม่ยิงก่อน ถ้าเขายิงก่อนเราก็สวนเท่านั้นเอง ก็ไม่มีปัญหา ซึ่งเรื่องดังกล่าว ผบ.ทบ.ก็ให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด.