xs
xsm
sm
md
lg

ต้านนิรโทษฯ คอร์รัปชันบีบ “แม้ว” รีบเปลี่ยนแคนดิเดตนายกฯ แทน ปู!?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

ต้องยอมรับว่าการเปิดเกมของ แก้วสรร อติโพธิ กับ นพ.ตุลย์ สุทธิสมวงศ์ ในนาม “เครือข่ายพลเมืองต่อต้านนิรโทษกรรมคอร์รัปชันทักษิณ ชินวัตร (คนท.) ใช้วาทะ “กล่าวโทษปู...หยุดกฎหมู่ชินวัตร” โดยมีการเปิดแถลงข่าวที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา หลังจากได้ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ให้ตรวจสอบความคืบหน้ากรณีการเอาผิดต่อทักษิณ ชินวัตร และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทยในความผิดเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชัน และการ “ให้ข้อมูลเท็จ” หลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้พิพากษาความผิดยึดทรัพย์ แล้วมีความผิดต่อเนื่องไปก่อนหน้านี้ ซึ่งถือว่าสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อ “ขบวนการทักษิณ” อย่างรุนแรงไม่น้อย และยังมีแนวโน้มว่าอาจลุกลามขยายวงออกไปเป็นเรื่องอื่นได้ไม่ยาก
 

แม้ว่าในเบื้องต้นอาจมองว่ามีเรื่องการเมืองเจือปนอยู่ แต่ขณะเดียวกันเนื้อหาสาระและประเด็นการนำเสนอของพวกเขาถือว่า “โดนใจ” หลายคน และยังเป็น “เรื่องจริง” ที่ยังคาใจของสังคม โดยเฉพาะกลุ่มที่ติดตามความเคลื่อนไหวของ ทักษิณ ชินวัตรมาตั้งแต่ต้นจน “รู้ทัน” ไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากเข้าใจกันดีอยู่แล้ว

คำชี้แจงของ แก้วสรร ที่เป็นอดีตกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้อ้างอิงคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ที่ อม.1/2553ว่าทักษิณ หลีกเลี่ยงกฎหมายโดยใช้ชื่อบุตร และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวถือหุ้นชินคอร์ปแทน รวมทั้งยังมีคดีข้างเคียงเป็นหางว่าว เช่น 1.คดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ แจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จต่อ ป.ป.ช. 2.คดีภริยา บุตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้การเท็จต่อ คตส. และเบิกความเท็จต่อศาลฎีกาฯ 3.คดีแจ้งข้อมูลธุรกรรมหุ้นชินคอร์ปเป็นเท็จต่อตลาดหลักทรัพย์ และ 4.คดีที่เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจชินคอร์ป
 

ในคำแถลงของแก้วสรรกับพวกได้ระบุว่า เป็น “ความผิดที่สำเร็จ” แล้ว และระบุว่าเป้าหมายของการมายื่นต่อคณะกรรมาธิการของวุฒิสภาครั้งนี้เพื่อให้ดำเนินการติดตามความคืบหน้าของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการกระทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อัยการสูงสุด และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่าดำเนินการคืบหน้าไปถึงไหน เนื่องจากเรื่องผ่านมากว่า 3 ปีหลังมีคำพิพากษาออกมา เพราะหากยังเพิกเฉยก็จะถูกดำเนินคดีข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานดังกล่าว

สิ่งที่น่าสนใจก็คือเป้าหมายของแก้วสรรยังระบุว่า ต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังกล่าวดำเนินการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทันที ซึ่งถึงตอนนั้น แม้พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง และ ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เธอก็ไม่สามารถทำตามคำสั่ง ในฐานะ “หุ่นเชิด” ของทักษิณ ได้ เนื่องจากเข้าข่าย “มีส่วนได้เสีย” จะมีความผิด ทำให้การผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนิรโทษกรรมล้างความผิดให้ตัวเองจะทำไม่ได้ เพราะ “ติดล็อก” ด้านกฎหมาย เหมือนกับเป็น “ชนักปักหลัง” เอาไว้ก่อนล่วงหน้า

ถือว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นเป้าหมายและประเด็นสำคัญที่สุด!!

แต่ก็ยังมีแง่มุมทางด้านกฎหมายอื่นๆ ที่ถูกนำชี้ให้เห็นโดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับคดีคอรัปชั่นที่เป็นคดีอาญาจะถูกนำมา “เหมารวม” นิรโทษกรรมรวมกับคดีอื่นๆ ไม่ได้ ซึ่งมันก็ทำให้หลายคนได้คิดและเห็นคล้อยตาม เพราะสิ่งที่ ทักษิณ ชินวัตร กำลังคิดจะทำอยู่ในเวลานี้หลายคนเชื่อว่ามีความต้องการแบบนั้นจริงๆ โดยเฉพาะการใช้เลือกตั้ง หรือ “ประชามติ” นำร่องเพื่อ “ฟอกความผิด”โดยทำเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เป็นความต้องการสูงสุด

นั่นคือข้อเท็จจริงและปมปัญหาที่คาดว่า ทั้งทักษิณต้องเจอกับปัญหาใหญ่หากยังผลักดันให้น้องสาวคือ ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีในวันหน้า หากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง นอกเสียจากเขาจะผ่อนแรงกดดันด้วยการประกาศ “เปลี่ยนตัว” คนที่เป็น “แคนดิเดตนายกฯ” เสียใหม่ ซึ่งก็ต้องมาพิจารณาถึงความเป็นไปได้ว่าจะเป็น “ใคร”

และเพื่อไม่ให้เสียเวลาเปลืองสมองก็ต้องมองข้าม มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ไปทันที ส่วนจะเป็นใครนั้นเดี๋ยวค่อยมาวิเคราะห์ แต่ก่อนอื่นก็ต้องมองย้อนกลับไปพิจารณาคำพูดของทักษิณ ในฐานะเจ้าของพรรคที่เคยหลุดออกมาทำนองว่า “คนที่เป็นนายกฯ อาจไม่ใช่ยิ่งลักษณ์”ก็ได้ จนมีเสียงฮือฮากันไปทั่ว ทำให้ตีความกันว่าการส่งยิ่งลักษณ์เพียงเพื่อสร้างสัญลักษณ์แทนตัวเองในลักษณะ “โคลน” หวังในเรื่องของ “กระแส” เพื่อนำไปสู่ชัยชนะเลือกตั้งเท่านั้น แต่คนที่จะผลักดันขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นอีกคนหนึ่งมีการ “ตระเตรียม” เอาไว้ล่วงหน้า

สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของ เนวิน ชิดชอบ จากพรรคภูมิใจไทยก่อนหน้านี้ระบุตอนหนึ่งแต่ตัดตอนไม่ต้องไม่พูดถึงเรื่องนายกฯ ปรองดองที่ไร้สาระว่า แม้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง แต่ ยิ่งลักษณ์ ก็จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะ ทักษิณ รู้ดีว่าจะเป็นชนวนความขัดแย้งรอบใหม่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ประกอบกับมีข่าวในเชิงลึกสอดเข้ามาในเวลาเดียวกันว่า ทักษิณ ได้ต่อสายเจรจากับ “บิ๊กกองทัพ” เพื่อวางตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกันก่อนแล้ว

ถามว่าถ้าไม่ใช่ยิ่งลักษณ์ แล้วจะเป็นใคร ก็ต้องตอบรวบรัดตัดความ เชื่อว่า พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยลำดับต้นๆ และเคยเป็นตัวแทนเสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรีโหวตแข่งกับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในสภามาแล้วสมัยที่ยังอยู่พรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งในฐานะที่เป็นอดีต “ตำรวจ” เหมือนกัน และที่สำคัญเชื่อว่า “บารมี” ของ พล.ต.อ.ประชา จะสามารถเคลียร์กับทุกกลุ่มไม่เว้นแม้แต่ “อำมาตย์” ทำให้ไว้ใจได้ เชื่อว่าชื่อนี้แหละที่ “ซ่อน” เอาไว้ข้างหลังและมีความเป็นไปได้มากที่สุด

ดังนั้น แก้วสรรกับพวกได้เดินเกมในแง่มุมของกฎหมาย “บล็อก” จนทำอะไรไม่ได้ถนัดและหากยังเสนอ ยิ่งลักษณ์ ขึ้นไปมันก็อาจเป็นชนวนที่เร่งให้แตกหักเร็วขึ้นดังกล่าว ซึ่งคนอย่าง ทักษิณ น่าจะสรุปบทเรียนได้ดี และที่สำคัญต้องไม่ลืมคำพูดที่ลอยลมออกมาจากปากของ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก่อนหน้านี้ไม่นานที่เตือนว่า “หากพรรคเพื่อไทยได้อำนาจมามิชอบ อาจจะถูกแย่งอำนาจ” มันก็ชวนให้คิดได้หลายอย่าง จนทำให้แม้วต้อง “คิดใหม่ ทำใหม่” อย่างที่ว่าก็เป็นได้!!

เกมขย่มนิรโทษฯ ล้างผิดให้ “อภิสิทธิชน” สะเทือนทั้ง “ปู-แม้ว”
เกมขย่มนิรโทษฯ ล้างผิดให้ “อภิสิทธิชน” สะเทือนทั้ง “ปู-แม้ว”
แม้ว่าหากติดความความเคลื่อนไหวของบุคคลทั้งสอง คือ นพ.ตุลย์ และ แก้วสรร ล้วนแล้วแต่เคยเดินมาในเส้นทางเดียวกับประชาธิปัตย์ก็ตาม แต่การออกมาชี้ให้สังคมได้มองเห็นแบบนี้มันก็ย่อมส่งผลสะเทือนต่อพรรคเพื่อไทย ต่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และที่สำคัญสะเทือนต่อ ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นเป้าหมายหลัก เพราะประเด็นดังกล่าวที่นำมาแสดงต่อชาวบ้านนั้นมันเป็นเรื่องจริงเสียด้วย อย่างน้อยก็เป็นการดับกระแส “ฟีเวอร์” ชี้ให้เห็นว่าเป็นเรื่องการเมืองที่ “เห็นแก่ตัว” และเป็น “อภิสิทธิ์ชน” โดยแท้
กำลังโหลดความคิดเห็น