"เทพมนตรี" อัด ก.ต่างประเทศ เก่งแต่ยื่นหนังสือประท้วง ไม่เคยบอกเขมรุกล้ำแดนไทย แฉรู้เต็มอกศาลปกครองกลางสั่งลงนามจอยส์คอมมูนิเก้เป็นโมฆะ ผิดรธน.190 แต่ยังพยายามเดินเรื่องเขาวิหารต่อเนื่อง เอางบฯสนับสนุนหน่วยงานต่างๆทำวิจัยเข้าข้างเขมร เผยสุดอัปยศข้าราชการ กต. บางส่วนเป็นลูกศิษย์ "ดร.ชาญวิทย์ " นักวิชากลวง 7.1 ล. ที่ทำวิจัยเข้าข้างเขมรแล้วยังทำทัวร์กรุงเทพ-เสียมเรียบด้วย
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง "รวมพลัง ปกป้องแผ่นดิน" การเสวนา "ราชอาณาจักรไทยกำลังจะเสียดินแดน"
วันที่ 27 พ.ค.2554 บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการประวัติศาสตร์ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ เป็นชนวนนำพาให้ประเทศไทยเสียดินแดน จุดเริ่มมาจาก นายนพดล ปัทมะ ที่ทำตามคำสั่งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปเซ็นลงนามจอยส์คอมมูนิเก้ เมื่อ16 พ.ค. 2551 หลังจากนั้นนำเข้าคณะรัฐมนตรี(ครม.) แล้วไปเซ็นอีกรอบ ทำให้นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายพันธมิตรฯ ไปฟ้องศาลปกครองกลาง จนศาลปกครองกลางพิจารณามีความเห็น ว่า จอยส์คอมมูนิเก้ เป็นหนังสือสนธิสัญญาต้องทำตามเงื่อนใขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เมื่อไม่ทำจึงเป็นโมฆะ
อย่างไรก็ดี เมื่อกระทรวงการต่างประเทศได้รับคำสั่งจากศาลไปแล้ว ปลัดกระทรวงต่างประเทศได้ลงนามเป็นเอกสารลับ แล้วแจกจ่ายให้ข้าราชการโดยทั่วถึงบอกว่า ห้ามเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับประเด็นเขาวิหารทั้งหมด ที่น่าสนใจ คือ ข้าราชการในกระทรวงการต่างประเทศ ที่ทำเรื่องเขาวิหาร ไม่สนใจคำสั่งศาลปกครองกลางเลย
นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศ ยังมีพฤติกรรมปกปิด ไม่เชื่อคำสั่งศาลปกครอง และพยายามเดินเรื่องเขาวิหารต่อเนื่อง กรณีการที่ ซกอาน ด่าศาลปกครองกลาง กระทรวงการต่างประเทศปกปิดไม่บอกศาลปกครองกลาง เมื่อมรดกโลกประกาศให้เขาวิหารขึ้นทะเบียน กระทรวงการต่างประเทศก็ออกมาบอกว่า เราควรร่วมมือกับไอซีซีพระวิหาร โดยไม่ฟังคำสั่งศาลปกครอง พฤติกรรมเช่นนี้หากเป็นประเทศที่มีคุณธรรม จริยธรรม เขาจับขึ้นศาลหมดแล้ว
นายปานเทพ กล่าวอีกว่า กระทรวงการต่างประเทศ พยายามผลักดันเอาร่างข้อตกลงชั่วคราวเข้าสภา เพื่อให้มีผลบังคับใช้ หากมีการลงนามเราต้องยกอาณาบริเวณโดยรอบเขาวิหารให้กัมพูชาใช้ชั่วคราวโดยไม่มีกำหนดเวลา เอางบประมาณไปให้มหาวิทยาลัยมหิดล นักวิชาการ7.1 ล้าน กระทรวงทรัพย์ฯ และงบอื่นๆสนับสนุนเส้นทางต่างๆให้เขมร พฤติการของข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ นับตั้งแต่นพดล ถึงปัจจุบัน เข้าข้างเขมรตลอด อย่างเก่งมีแค่หนังสือประท้วง ไม่เคยบอกเขมรุกล้ำแดนไทย
ทั้งนี้ ท่าทีของทหารไทยตั้งแต่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา จนถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อกรณีเขาวิหารเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน เขมรยังยึดดินแดนไทยอยู่ แถมขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ทหารไทยกลับเฉย ทั้งที่รู้เต็มอกว่าบริเวณโดยรอบเป็นของไทย ตนเคยถามทหารทำไมไม่ไล่เขมรออก ทหารอ้างว่าต้องรอ กระทรวงการต่างประเทศสั่งก่อน ทหารถึงจะทำได้ ซึ่งตนคิดว่าเป็นการโยนกันไปมามากกว่า
นายเทพมนตรี กล่าวว่า พฤติการของกระทรวงการต่างเทศทำทุกอย่างเพื่อเข้าข้างเขมร แม้กระทั่งเวทีนี้ก็ยังเอานักวิชาการ 7.1 ล้านมาโต้แย้ง ที่น่าสนใจอีกอย่าง ก.ต่างประเทศให้ข้อมูลทั้งลับและไม่ลับทั้งหมด ให้นักวิชาการ 7.1 ล้านทำวิจัยเข้าข้างเขมร นอกจากนี้นักวิชาการในนั้นสองคนเป็นอาจารย์สอนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเขมรปัจจุบัน และข้าราชการต่างเทศส่วนหนึ่ง ซี้กับ ดร.ชาญวิทย์ เป็นอย่างดีเพราะเป็นลูกศิษย์ โดยเฉพาะรองอธิบดีกรมเอเซียตะวันออก ที่สำคัญดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ หัวหน้านักวิชาการ ยังทำทัวร์ท่องเที่ยวระหว่างกรุงเทพ- เสียมเรียบ ด้วย
“กษิต พยายามไปเซ็นทีโออาร์ เชิญอินโดนีเซียเข้ามา โดยมีสุเทพอยู่เบื้องหลัง ที่นายกษิตได้ดี เป็นเพราะนายสุเทพ ปั้น เป็นผลประโยชน์ต่างตอบแทน เพราะตอนนายสุเทพ เข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯไม่มีที่อยู่ไปอยู่บ้านนายกษิต อย่างไรก็ดีนายกษิต เคยด่าฮุนเซน ในที่สุดก็ไปราบสังฆราชของฮุนเซน คนแบบนี้ใช้ไม่ได้ เมื่อเข้าไปอยู่ใน ก.ต่างประเทศ จึงพาข้าราชการต่างประเทศ ให้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ โดยรับคำสั่งมาจากนายสุเทพ หลังไปคุยพลังงานกับ ฮุนเซน มาแล้วบอกที่เท่าแมวดิ้นตาย”
นายเทพมนตรี กล่าวว่า กรมที่ควรฟ้องมากที่สุดคือ กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กับ กรมเอเซียตะวันออก เพราะจากหลักฐานต่างๆที่ตนมี สามารถบ่งบอกได้ว่าสองกรมนี้สนับสนุนให้เขมรสำเร็จความใคร่เรื่องปราสาทเขาวิหาร อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ทำผิดทั้งคำวินิจฉัยศาลปกครอง และพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติเขาวิหาร นอกจากนี้กรณีผู้ตรวจการแผ่นดินถามถึงข้อสงวนสิทธิ์ที่ ดร. ถนัด คอมันตร์ ตั้งไว้ยังใช้ได้อยู่หรือไม่ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย บอกว่าใช้ได้ แต่พอมารายงานนายกฯ บอกหมดอายุความแล้ว
