“เทพมนตรี” ซัดนักวิชาการ 7.1 ล้าน สุดมั่วอยากเข้าข้างเขมร แปลเอกสารตัดปะให้ “โกมุย” คือ โคปุระที่ 1 ชี้ “โคปุระ” เป็นภาษาสันสกฤตแปลว่าซุ้มประตู ส่วนโกมุยคือชื่อต้นไม้เลื้อยชนิดหนึ่ง และไม่ได้เกี่ยวกับบ้านโกมุย เพราะบ้านโกมุยมาที่หลังการสร้างปราสาทเขาวิหาร
วันที่ 7 มี.ค.2554 บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการประวัติศาสตร์ กล่าวถึงอาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ที่แปล โกมุย ว่าหมายถึง โคปุระที่ 1 โดยให้เหตุผลว่า โกคือโค มุย คือ 1 นั้น แสดงว่าอาจารย์ไม่รู้เรื่องสถาปัตยกรรม ตนถึงได้บอกว่างานของนักวิชาการ 7.1 ล้าน คลั่งชาติเขมรเป็นงานแปลตัดปะ ไม่พูดความจริงทั้งหมดเลยหาความจริงไม่ได้ไนงานวิจัยนี้ ความจริงคำว่าโคปุระกับโกมุย ความหมายคนระเรื่องเลย โคปุระเป็นภาษาสันสกฤต หากไปประเทศอินเดีย เราจะเห็นชาวอินเดียเรียกว่าวิมานนำ แล้วเรามาเรียกในศิลปเขมร ว่า โคปุระ หรือโคปุรัม
ทั้งนี้ หากเอาให้ง่าย ไปวัดพระแม่อุมาเทวี ที่ถนนสีลม เราจะเห็นว่ามีโคปุระ หรือหอสูงๆ ขึ้นมาเป็นซุ้มประตู โคปุระแปลว่าซุ้มประตู ไม่ใช่โกมุย อาจารย์ชาญวิทย์ไม่รู้เรื่องนี้เนื่องจากอยากเข้าข้างเขมร น่าสงสัยในเวลาที่ไทยฮึ่มกับเขมร ไฉนกลุ่มนักวิชาการนี้ไปโผล่ที่บ้านโกมุยได้
“จากปากนายอัครพงษ์ ค่ำคูณ เคยบอกว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเขมร เป็นลูกศิษย์ อ.ชาญวิทย์ เคยมีสัมพันธ์อันดีต่อการศึกษาด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และวันก่อนผมก็บอกนอกจากนี้มีทั้งราชบัณฑิตเขมรที่เป็นคู่เคียง อ.ชาญิวทย์ แล้วยังมีอาจารย์ในมหาวิทยาลัยพนมเปญ เคียงคู่ อ.ชาญวิทย์ด้วย ดังนั้น สายสัมพันธ์ อ.ชาญวิทย์จึงไม่เหมาะสมในสภาวะที่บ้านเมืองของเรามีศัตรูอย่างเขมร”
นายเทพมนตรีกล่าวต่อว่า หากเรานับโคปุระชั้นที่ 1 อย่าง อ.ชาญวิทย์ หมายความว่าจะต้องมีซุ้มประตูล้อมลอบตัวปราสาทประธาน อ.ชาญวิทย์ อาจได้รับแรงบันดาลใจมาจากัมพูชา เนื่องจากเวลาทำแผนบริหาร เขมรให้ยูเนสโกไปจ้างชาวอินเดียมาทำ แต่เนื่องจากชาวอินเดีย ไปสลับเอาโคปะระชันที่ 1 เป็นชั้นที่5 เอาชั้นที่ 5 เป็นชั้นที่ 1 เพื่อเอาใจกัมพูชา ให้คำว่าปราสาทพระวิหาร สองคล้องกับคำว่า โกมุย
“โกมุย คือชื่อต้นไม้ ซึ่งเป็นไม้เลื้อยชนิดหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับโคปะระ 1 ดังที่ อ.ชาญวิทย์พยายามบอก เป็นการเชื่อมโยงของใหม่ไปปะปนกับของเก่า และไม่ได้เกี่ยวกับบ้านโกมุย เพราะบ้านโกมุยมาที่หลังการสร้างปราสาทเขาวิหาร”
นอกจากนี้ นายเทพมนตรียังกล่าวว่า อ.ชาญวิทย์ ไม่รู้วิธีการสร้างวัด ไม่รู้วิธีการวางตำแหน่งศิวลึงค์ ซึ่งเป็นรูปเคารพในประสาท ตามหลักทางขึ้นทิศเหนือซึ่งเป็นทางขึ้นหลัก หมายความว่า เมื่อเวลามีพิธีศิวาราตรี พราหมณ์จะเดินขึ้น โดยเริ่มจากทางทิศเหนือซึ่งอยู่ทางฝั่งไทย เราจึงเห็นบันไดนาคราชที่โดดเด่นเชื่อมต่อด้วยเสานางเรียง ฉะนั้น ผังทางทิศเหนือทอดไปทางทิศไต้จึงเริ่มต้นจากฝั่งไทย ไปจรดหน้าผาที่เป้ยตานี นอกจากนี้ยังมีนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศษ ที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้บุกเบิกศิลปเขมร เข้ามาสำรวจเขาวิหารก่อนที่ไทยจะมีข้อพิพาทกับเขมร เขียนไว้อย่างชัดเจนในหนังสือการเดินทางของเขา ว่า “ศิลปะที่เป็นมรดกเขมรในประเทศไทย ปราสาทเขาวิหารอยู่ในฝั่งไทย”
นายเทพมนตรีกล่าวว่า แผนบริหารจัดการปราสาท เกิดขึ้นจากจอยต์คอมมูนิเก แม้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่าใช้ไม่ได้ แต่เราปล่อยให้แผนบริหารจัดการแล้วเสร็จ และส่งไปยูเนสโกแล้ว ทำให้แผนนี้เราจะต้องผูกพันธ์ประชุมที่ยูเนสโก เมื่อเป็นเช่นนี้เราจะได้ดินแดนกลับคืนมาได้อย่างไร ทั้งนี้ตนเชื่อว่าจอยส์คอมมูนิเก้ ยังไม่ได้ยกเลิกโดยมติคณะรัฐมนตรีเพราะทำขึ้นจากมติคณะรัฐมนตรี หากยกเลิกไปแล้วจริงแล้วทำไมนายอภิสิทธิ์ ไม่พูดกับ นายมัสสึอุระ ว่าจอยต์คอมมูนิเก กลายร่างมาเป็นแผนบริหารจัดการ ทำให้สงสัยว่านายกฯสมรู้ร่วมคิด เอาไทยเข้าร่วมเป็นหนึ่งใน 7 ชาติทำแผนบริหารจัดการหรือไม่
เทพมนตรีกล่าวทิ้งท้ายว่า นายกฯ จะใช้สภาผ่านเจบีซี 3 ฉบับหรือไม่ วันนี้ก็ต้องรอว่าสภาอนุมัติให้นายกหรือไม่ แต่กรณี “วีระ-ราตรี” นายกฯ ทราบดี ที่นายวา คิมฮง พูดชัดเจนถึงกรณีเกิดกรณีพิพาทอันเนื่องจากหลักเขตที่ยังไม่ชัดเจนตรงนี้ ทำไมหลังจากวันที่ 30 นายกฯ ไม่เอาไปใช้เป็นข้ออ้าง นายกฯ ไม่ใช้กลไกที่เป็นประโยชน์ในการช่วยเหลือคนไทยทั้ง 7 ถือว่าใจดำและร้ายกาจมาก