ตั้งแต่ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดประเด็นพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร วาทกรรม “คลั่งชาติ” ก็สาดใส่เข้ามาแบบไม่จำแนกแยกแยะข้อเท็จจริงที่พันธมิตรฯ ได้นำเสนอ
ผมจะลองอธิบายเรื่องนี้ให้เข้าใจง่ายขึ้น
จริงอยู่อาจมีบางคนพูดไปถึงการทวงคืนปราสาทพระวิหารโดยยกเหตุผลที่รัฐบาลไทยได้ประกาศสงวนเอาไว้หากมีหลักฐานใหม่ และจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้ประกาศเอาไว้ในเวลานั้นว่าจะต้องเอาคืนกลับมาเป็นของคนไทยให้จงได้ หรือบางคนพูดเลยไปว่าจะต้องทวงคืนมณฑลบูรพากลับมาเป็นของไทย
แต่นั่นเป็นอารมณ์ความรู้สึกไม่ใช่เนื้อหาหลักที่พันธมิตรฯ เรียกร้อง ซึ่งหมายถึงการทวงคืนและปกปักรักษาพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรที่เขมรเข้ามายึดครอง
ดังนั้น ถ้าละจากตัวปราสาทและพื้นดินที่ปราสาทตั้งอยู่ ประเด็นจึงอยู่ที่เราเชื่อหรือไม่ว่า พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของไทย
ผมเชื่อว่าทางการไทยเชื่อแน่ว่าพื้นที่นั้นเป็นของเรา แม้แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้พูดชัดเจนหลายครั้งว่า พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรนั้นเป็นแผ่นดินของไทย
หลังคำตัดสินของศาลโลก ในฐานะคนไทยเรารับรู้สถานการณ์ของปราสาทพระวิหารร่วมกันว่า ตัวปราสาทพระวิหารแม้จะเป็นของเขมร แต่ทางขึ้นหรือบันไดนั้นอยู่ในฝั่งไทย
แต่ทางเขมรได้รุกคืบเข้ามาในพื้นที่ดังกล่าวในปี 2540 และช่วงประมาณปี พ.ศ. 2546 ทางกัมพูชาได้ทำรั้วและแนวขึ้นมาใหม่ โดยรื้อรั้วที่เคยมีอยู่ที่บันไดขั้นที่ 161-162 ที่ไทยล้อมไว้ รวมทั้งส่วนอื่นๆ ออก และใช้แนวลำห้วยลึกเข้ามาทางด้านประเทศไทย รวมทั้งได้ปล่อยให้ชาวกัมพูชาเข้ามาตั้งร้านค้า ปลูกเพิงพักถึงเชิงบันได และได้เริ่มสร้างวัดในปี 2546 (เขมรอ้างว่าสร้างก่อนเอ็มโอยู 2543) ซึ่งไทยได้แต่ทำการประท้วงเป็นลายลักษณ์อักษรโดยไม่มีการผลักดันผู้รุกรานให้ออกไป
ถ้าใครพูดว่า พันธมิตรฯ คลั่งชาติมาพูดกันในกรอบตรงนี้ก่อน ว่าคุณคิดว่า 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของใคร
ไม่ใช่การโยงไปอย่างเลอะเทอะเปรอะเปื้อนของนักวิชาการ “คลั่งชาติเขมร” อย่าง ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ที่พยายามประดิษฐ์คำศัพท์ลิเกว่า เป็นผลพวงของ “อำมาตยาเสนาชาตินิยม” ที่ตกค้างมา หรืออ้างว่าดินแดนบริเวณนี้เคยเป็นอาณาจักรขอมมาก่อน
ถ้าอ้างว่า มรดกของขอม คือมรดกของเขมรและเขมรควรเป็นผู้ครอบครอง โดยยึดเอาผู้ก่อสร้างมรดกทางประวัติศาสตร์นอกเหนือจากเส้นเขตแดนรัฐชาติสมัยใหม่ ถามว่าโลกจะไม่เกิดความวุ่นวายเช่นนั้นหรือ
ความพยายามอ้างว่าการสร้างอาณาบริเวณนี้ให้กลายเป็น “มรดกโลกข้ามเขตแดน” เพื่อ “ความรัก-สันติภาพ-สันติสุข-และอหิงสา” ของ “ประชาคมอาเซียน” ที่ “ไร้พรมแดน” นั้น เป็นการพูดเชิงอุดมคติที่ละเลยข้อเท็จจริงในความเป็นรัฐชาติ และตีความเรื่องโลก “ไร้พรมแดน” เพื่อรับใช้ทุนเพียงอย่างเดียว
การพูดถึง “ความรัก-สันติภาพ-สันติสุข-และอหิงสา” ทำให้คนพูดดูดีครับ แต่ลองนึกดูว่า เราพูดถึง “ความรัก-สันติภาพ-สันติสุข-และอหิงสา” โดยไม่มีกติกาและกฎเกณฑ์รองรับจะได้ไหม เราเข้าไปยึดดินแดนใครแล้วปักป้ายว่า “ความรัก-สันติภาพ-สันติสุข-และอหิงสา” จะได้ไหม
เพราะโลกไร้พรมแดนหรือโลกาภิวัตน์ที่พูดถึงนั้น หมายถึงการละลายเขตแดนทางเศรษฐกิจ และการผลิตวัฒนธรรมเป็นสินค้าออก โดยใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่การลบทิ้งเส้นเขตแดนแล้วปล่อยให้เข้ามายึดครองกันโดยไม่มีกฎเกณฑ์และกติกา
ถ้าเราเชื่อว่า พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของไทย ซึ่งอย่างน้อยรัฐไทยก็เชื่อและยืนยันเช่นนั้น ไม่มีใครหรือศาลโลกที่ไหนมาชี้ว่าพื้นที่นั้นเป็นของเขมร จึงไม่ควรพูดให้ปะปนกับคำพิพากษาเรื่องตัวปราสาท ผมจึงคิดว่าเราควรเอาโจทย์นี้เป็นตัวตั้งแล้วคิดย้อนกลับไปดู
ถ้าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของคนไทย ทำไมเราจึงปล่อยให้เขมรเข้ามายึดครอง สร้างวัดและสร้างชุมชน ทำไมรัฐไทยและกองทัพไทยจึงไม่ขับไล่ผลักดันผู้รุกรานออกไป ทั้งที่การปฏิบัติเช่นนี้เป็นหลักปฏิบัติและความชอบธรรมของทุกชาติในโลก
และเมื่อมีกลุ่มพลังประชาชนออกมาแสดงพลังรักชาติเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาปกป้องดินแดนและทวงคืนแผ่นดินที่ต่างชาติเข้ามายึดครอง ประชาชนเหล่านั้นควรจะเรียกว่า “ผู้รักชาติ” หรือ “คลั่งชาติ” กันแน่ หรือรัฐบาลไทยควรร่วมมือกับประชาชนกลุ่มนี้หรือกล่าวหาเขาราวเป็นศัตรูของชาติกันแน่
การปกป้องอธิปไตยจึงไม่ใช่การคลั่งชาติ และการทำสงคราม (แม้ว่าเราไม่อยากให้เกิดขึ้น) ก็ไม่ใช่เรื่องของการคลั่งชาติ อังกฤษทำสงครามชิงเกาะฟอล์คแลนด์และได้รับการสนับสนุนจากคนส่วนใหญ่ในชาติก็ไม่ใช่การคลั่งชาติ แต่เป็นการปกป้องอธิปไตยของชาติ
การปลุกระดม “คลั่งชาติ” เป็นแนวคิดของนักวิชาการกลุ่มหนึ่ง ที่จงใจสาดโคลนไม่ได้มองข้อเท็จจริงและเนื้อหาประเด็นหลักที่พันธมิตรฯ พูดถึง ซึ่งผมมั่นใจว่า มีข้อมูลที่หนักแน่นกว่าฝ่ายรัฐบาล แต่นักวิชาการเหล่านี้ไม่ฟังสิ่งที่พันธมิตรฯ นำเสนอ แต่จงใจกล่าวหาว่าว่า พันธมิตรฯ กระหายสงครามเพื่อให้เกิดภาพในมุมลบ
ประเด็นของรัฐบาลเพียงอย่างเดียวคือ การกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด เพราะไปทำเอ็มโอยู 2543 เสียเปรียบเขมร แต่ถามว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์เข้าใจหรือไม่ ผมคิดว่าเข้าใจ เพราะอภิสิทธิ์เคยพูดในสภาแบบเดียวกับที่พันธมิตรฯ พูดและเรียกร้องบนเวทีวันนี้ แต่เพราะเอ็มโอยู 2543 ทำโดยพรรคประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์จึงไม่ยอมยกเลิกและพยายามหาทางออกที่ถลำลึกไปเรื่อยๆ หรืออย่างน้อยก็เพื่อให้พ้นจากวาระที่ตัวเองเป็นรัฐบาล
สื่อจำนวนมากไม่ฟังข้อมูลที่พันธมิตรฯ นำเสนอ เพราะมีอคติกับพันธมิตรฯ และกล่าวหาว่าพันธมิตรฯ สร้างความวุ่นวาย และมองการปิดถนนสร้างความเดือดร้อนให้คนใช้ถนนเหนือสิทธิในระบอบประชาธิปไตย การแสดงพลังรักชาติและปกป้องดินแดน
ลองมองย้อนกลับไปสิครับว่า ถ้าเกิดกรณีพิพาทในพื้นที่ชายแดนอื่นกับประเทศเพื่อนบ้านตรงจุดอื่นในแผ่นดินที่เราเชื่อว่า เป็นของไทย เราจะพูดไหมครับว่า ยุคนี้เป็นยุคโลกไร้พรมแดนควรปล่อยให้เขาเข้ามายึดครองหรือไปมาหาสู่กันเพื่อ “ความรัก-สันติภาพ-สันติสุข-และอหิงสา” แล้วทำแผ่นดินตรงนั้นให้เป็นมรดกโลกไร้พรมแดนไหม
และถ้ามีคนไทยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งออกมาเรียกร้องและปกป้องอธิปไตยของชาติแบบที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกองทัพธรรมทำอยู่ตอนนี้นั้น พวกเขาควรได้รับการยกย่องหรือใส่ร้ายป้ายสีตอบโต้รุนแรงอย่างที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ทำอยู่
ผมไม่พูดถึงกองเชียร์อภิสิทธิ์ที่กล่าวหาสาดโคลนพันธมิตรฯ ว่าสร้างความวุ่นวายปิดถนนทำให้คนอื่นเดือดร้อน หรือเป็นการเมืองข้างถนนแบบที่เทพไท เสนพงศ์ กล่าวหาเพราะนั่นเป็นเรื่องที่ไม่ก่อให้เกิดปัญญาอะไร
เพราะถ้าคิดว่าพันธมิตรฯ ไม่มีสิทธิออกมาชุมนุม พวกแม่ยกมาร์คและประชาธิปัตย์ต้องตอบคำถามตัวเองว่า ออกมาร่วมชุมนุมบนท้องถนนกับพันธมิตรฯ ทำไมในวันที่ขับไล่ระบอบทักษิณและหุ่นเชิดให้ลงจากอำนาจ
สำหรับผมแล้ว นักวิชาการคลั่งชาติเขมรอย่าง ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นั้นก็ไม่ต่างจากนางโมราในผอบของจันทโครพที่ส่งพระขรรค์ให้โจรตรงไหน
ผมจะลองอธิบายเรื่องนี้ให้เข้าใจง่ายขึ้น
จริงอยู่อาจมีบางคนพูดไปถึงการทวงคืนปราสาทพระวิหารโดยยกเหตุผลที่รัฐบาลไทยได้ประกาศสงวนเอาไว้หากมีหลักฐานใหม่ และจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้ประกาศเอาไว้ในเวลานั้นว่าจะต้องเอาคืนกลับมาเป็นของคนไทยให้จงได้ หรือบางคนพูดเลยไปว่าจะต้องทวงคืนมณฑลบูรพากลับมาเป็นของไทย
แต่นั่นเป็นอารมณ์ความรู้สึกไม่ใช่เนื้อหาหลักที่พันธมิตรฯ เรียกร้อง ซึ่งหมายถึงการทวงคืนและปกปักรักษาพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรที่เขมรเข้ามายึดครอง
ดังนั้น ถ้าละจากตัวปราสาทและพื้นดินที่ปราสาทตั้งอยู่ ประเด็นจึงอยู่ที่เราเชื่อหรือไม่ว่า พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของไทย
ผมเชื่อว่าทางการไทยเชื่อแน่ว่าพื้นที่นั้นเป็นของเรา แม้แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้พูดชัดเจนหลายครั้งว่า พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรนั้นเป็นแผ่นดินของไทย
หลังคำตัดสินของศาลโลก ในฐานะคนไทยเรารับรู้สถานการณ์ของปราสาทพระวิหารร่วมกันว่า ตัวปราสาทพระวิหารแม้จะเป็นของเขมร แต่ทางขึ้นหรือบันไดนั้นอยู่ในฝั่งไทย
แต่ทางเขมรได้รุกคืบเข้ามาในพื้นที่ดังกล่าวในปี 2540 และช่วงประมาณปี พ.ศ. 2546 ทางกัมพูชาได้ทำรั้วและแนวขึ้นมาใหม่ โดยรื้อรั้วที่เคยมีอยู่ที่บันไดขั้นที่ 161-162 ที่ไทยล้อมไว้ รวมทั้งส่วนอื่นๆ ออก และใช้แนวลำห้วยลึกเข้ามาทางด้านประเทศไทย รวมทั้งได้ปล่อยให้ชาวกัมพูชาเข้ามาตั้งร้านค้า ปลูกเพิงพักถึงเชิงบันได และได้เริ่มสร้างวัดในปี 2546 (เขมรอ้างว่าสร้างก่อนเอ็มโอยู 2543) ซึ่งไทยได้แต่ทำการประท้วงเป็นลายลักษณ์อักษรโดยไม่มีการผลักดันผู้รุกรานให้ออกไป
ถ้าใครพูดว่า พันธมิตรฯ คลั่งชาติมาพูดกันในกรอบตรงนี้ก่อน ว่าคุณคิดว่า 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของใคร
ไม่ใช่การโยงไปอย่างเลอะเทอะเปรอะเปื้อนของนักวิชาการ “คลั่งชาติเขมร” อย่าง ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ที่พยายามประดิษฐ์คำศัพท์ลิเกว่า เป็นผลพวงของ “อำมาตยาเสนาชาตินิยม” ที่ตกค้างมา หรืออ้างว่าดินแดนบริเวณนี้เคยเป็นอาณาจักรขอมมาก่อน
ถ้าอ้างว่า มรดกของขอม คือมรดกของเขมรและเขมรควรเป็นผู้ครอบครอง โดยยึดเอาผู้ก่อสร้างมรดกทางประวัติศาสตร์นอกเหนือจากเส้นเขตแดนรัฐชาติสมัยใหม่ ถามว่าโลกจะไม่เกิดความวุ่นวายเช่นนั้นหรือ
ความพยายามอ้างว่าการสร้างอาณาบริเวณนี้ให้กลายเป็น “มรดกโลกข้ามเขตแดน” เพื่อ “ความรัก-สันติภาพ-สันติสุข-และอหิงสา” ของ “ประชาคมอาเซียน” ที่ “ไร้พรมแดน” นั้น เป็นการพูดเชิงอุดมคติที่ละเลยข้อเท็จจริงในความเป็นรัฐชาติ และตีความเรื่องโลก “ไร้พรมแดน” เพื่อรับใช้ทุนเพียงอย่างเดียว
การพูดถึง “ความรัก-สันติภาพ-สันติสุข-และอหิงสา” ทำให้คนพูดดูดีครับ แต่ลองนึกดูว่า เราพูดถึง “ความรัก-สันติภาพ-สันติสุข-และอหิงสา” โดยไม่มีกติกาและกฎเกณฑ์รองรับจะได้ไหม เราเข้าไปยึดดินแดนใครแล้วปักป้ายว่า “ความรัก-สันติภาพ-สันติสุข-และอหิงสา” จะได้ไหม
เพราะโลกไร้พรมแดนหรือโลกาภิวัตน์ที่พูดถึงนั้น หมายถึงการละลายเขตแดนทางเศรษฐกิจ และการผลิตวัฒนธรรมเป็นสินค้าออก โดยใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่การลบทิ้งเส้นเขตแดนแล้วปล่อยให้เข้ามายึดครองกันโดยไม่มีกฎเกณฑ์และกติกา
ถ้าเราเชื่อว่า พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของไทย ซึ่งอย่างน้อยรัฐไทยก็เชื่อและยืนยันเช่นนั้น ไม่มีใครหรือศาลโลกที่ไหนมาชี้ว่าพื้นที่นั้นเป็นของเขมร จึงไม่ควรพูดให้ปะปนกับคำพิพากษาเรื่องตัวปราสาท ผมจึงคิดว่าเราควรเอาโจทย์นี้เป็นตัวตั้งแล้วคิดย้อนกลับไปดู
ถ้าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของคนไทย ทำไมเราจึงปล่อยให้เขมรเข้ามายึดครอง สร้างวัดและสร้างชุมชน ทำไมรัฐไทยและกองทัพไทยจึงไม่ขับไล่ผลักดันผู้รุกรานออกไป ทั้งที่การปฏิบัติเช่นนี้เป็นหลักปฏิบัติและความชอบธรรมของทุกชาติในโลก
และเมื่อมีกลุ่มพลังประชาชนออกมาแสดงพลังรักชาติเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาปกป้องดินแดนและทวงคืนแผ่นดินที่ต่างชาติเข้ามายึดครอง ประชาชนเหล่านั้นควรจะเรียกว่า “ผู้รักชาติ” หรือ “คลั่งชาติ” กันแน่ หรือรัฐบาลไทยควรร่วมมือกับประชาชนกลุ่มนี้หรือกล่าวหาเขาราวเป็นศัตรูของชาติกันแน่
การปกป้องอธิปไตยจึงไม่ใช่การคลั่งชาติ และการทำสงคราม (แม้ว่าเราไม่อยากให้เกิดขึ้น) ก็ไม่ใช่เรื่องของการคลั่งชาติ อังกฤษทำสงครามชิงเกาะฟอล์คแลนด์และได้รับการสนับสนุนจากคนส่วนใหญ่ในชาติก็ไม่ใช่การคลั่งชาติ แต่เป็นการปกป้องอธิปไตยของชาติ
การปลุกระดม “คลั่งชาติ” เป็นแนวคิดของนักวิชาการกลุ่มหนึ่ง ที่จงใจสาดโคลนไม่ได้มองข้อเท็จจริงและเนื้อหาประเด็นหลักที่พันธมิตรฯ พูดถึง ซึ่งผมมั่นใจว่า มีข้อมูลที่หนักแน่นกว่าฝ่ายรัฐบาล แต่นักวิชาการเหล่านี้ไม่ฟังสิ่งที่พันธมิตรฯ นำเสนอ แต่จงใจกล่าวหาว่าว่า พันธมิตรฯ กระหายสงครามเพื่อให้เกิดภาพในมุมลบ
ประเด็นของรัฐบาลเพียงอย่างเดียวคือ การกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด เพราะไปทำเอ็มโอยู 2543 เสียเปรียบเขมร แต่ถามว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์เข้าใจหรือไม่ ผมคิดว่าเข้าใจ เพราะอภิสิทธิ์เคยพูดในสภาแบบเดียวกับที่พันธมิตรฯ พูดและเรียกร้องบนเวทีวันนี้ แต่เพราะเอ็มโอยู 2543 ทำโดยพรรคประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์จึงไม่ยอมยกเลิกและพยายามหาทางออกที่ถลำลึกไปเรื่อยๆ หรืออย่างน้อยก็เพื่อให้พ้นจากวาระที่ตัวเองเป็นรัฐบาล
สื่อจำนวนมากไม่ฟังข้อมูลที่พันธมิตรฯ นำเสนอ เพราะมีอคติกับพันธมิตรฯ และกล่าวหาว่าพันธมิตรฯ สร้างความวุ่นวาย และมองการปิดถนนสร้างความเดือดร้อนให้คนใช้ถนนเหนือสิทธิในระบอบประชาธิปไตย การแสดงพลังรักชาติและปกป้องดินแดน
ลองมองย้อนกลับไปสิครับว่า ถ้าเกิดกรณีพิพาทในพื้นที่ชายแดนอื่นกับประเทศเพื่อนบ้านตรงจุดอื่นในแผ่นดินที่เราเชื่อว่า เป็นของไทย เราจะพูดไหมครับว่า ยุคนี้เป็นยุคโลกไร้พรมแดนควรปล่อยให้เขาเข้ามายึดครองหรือไปมาหาสู่กันเพื่อ “ความรัก-สันติภาพ-สันติสุข-และอหิงสา” แล้วทำแผ่นดินตรงนั้นให้เป็นมรดกโลกไร้พรมแดนไหม
และถ้ามีคนไทยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งออกมาเรียกร้องและปกป้องอธิปไตยของชาติแบบที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกองทัพธรรมทำอยู่ตอนนี้นั้น พวกเขาควรได้รับการยกย่องหรือใส่ร้ายป้ายสีตอบโต้รุนแรงอย่างที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ทำอยู่
ผมไม่พูดถึงกองเชียร์อภิสิทธิ์ที่กล่าวหาสาดโคลนพันธมิตรฯ ว่าสร้างความวุ่นวายปิดถนนทำให้คนอื่นเดือดร้อน หรือเป็นการเมืองข้างถนนแบบที่เทพไท เสนพงศ์ กล่าวหาเพราะนั่นเป็นเรื่องที่ไม่ก่อให้เกิดปัญญาอะไร
เพราะถ้าคิดว่าพันธมิตรฯ ไม่มีสิทธิออกมาชุมนุม พวกแม่ยกมาร์คและประชาธิปัตย์ต้องตอบคำถามตัวเองว่า ออกมาร่วมชุมนุมบนท้องถนนกับพันธมิตรฯ ทำไมในวันที่ขับไล่ระบอบทักษิณและหุ่นเชิดให้ลงจากอำนาจ
สำหรับผมแล้ว นักวิชาการคลั่งชาติเขมรอย่าง ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นั้นก็ไม่ต่างจากนางโมราในผอบของจันทโครพที่ส่งพระขรรค์ให้โจรตรงไหน