“สนธิ” จัดหนักให้ “ชาญวิทย์” ระบุเป็นคนหนักแผ่นดิน ความคิดเห็นพ้อง-สัมพันธ์ใกล้ชิดพวกล้มเจ้า ย้ำ พธม.สู้ครั้งนี้ยิ่งใหญ่ที่สุด ป้องกันสูญเสียชาติ ขณะชาญวิทย์พร้อมหางเครื่องรับเงิน 7.1 ล้าน มาบอกว่าทุกอย่างเป็นของเขมร ระบุเป็นกบฏขายชาติเต็มรูปแบบ หลังเอาทูตเขมรมาด่าไทยถึงที่ จวก “มาร์ค” มัวแต่อมเอ็มโอยู 43 ปัญหาไม่จบ เตรียมนัดพันธมิตรฯ แนวร่วมแสดงพลังครั้งใหญ่เร็วๆ นี้
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ปราศรัยโดย “นายสนธิ ลิ้มทองกุล”
เมื่อเวลา 22.15 น.วันที่ 21 ก.พ. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นปราศรัยที่เวทีสะพานมัฆวานฯ ระหว่างการชุมนุม “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” โดยเริ่มต้นด้วยการร้องเพลง “หนักแผ่นดิน” ร่วมกับผู้ชุมนุม และบอกว่าขอมอบให้นายพลกุนเชียง รัฐมนตรีหมูอ้วน รองนายกฯ จรกา รัฐมนตรีษิตหิด และนักวิชาการ 7.1 ล้าน นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ ซึ่งถือว่าไม่มีเพลงไหนที่บอกบุคลิกของนายชาญวิทย์ได้ตรงเท่ากับเพลง “หนักแผ่นดิน” อีกแล้ว และการที่มีนักวิชาการแบบนายชาญวิทย์นี่เองที่ทำให้การศึกษาไทยฉิบหาย
นายสนธิกล่าวต่อว่า ได้อ่านเอกสารที่นายชาญวิทย์เอาไปพูดแล้วอยากจะอาอ้วก โดยนายชาญวิทย์อ้างว่า ขณะนี้คนเสื้อเหลืองไม่ใส่เสื้อเฉดสีเดียวกันแล้ว มีคนไม่น้อยที่เปลี่ยนไปใส่เสื้อสีชมพูหรือหลากสี ความเข้มข้นหรือความขลังจึงลดลง และบอกว่าไพ่ที่ผู้นำพันธมิตรฯ เคยใช้เรียกการสนับสนุนที่มีอยู่ 3 เรื่อง คือ 1.ความไม่จงรักภักดี 2.การทุจริตคอร์รัปชัน ผลประโยชน์ทับซ้อน และ 3.ชาตินิยม แต่การชุมนุมครั้งนี้ผู้นำพันธมิตรฯ ใช้เพียงเรื่องชาตินิยมเรื่องเดียว จึงมีแต่การพูดเรื่องเสียดินแดน
นายสนธิกล่าวว่า จากข้อเขียนและคนที่นายชาญวิทย์ไปสัมพันธ์ด้วยนั้น เป็นพวกที่มุ่งโค่นล้มสถาบัน ซึ่งตนไม่อยากพูดเดี๋ยวจะหาว่าเอาเรื่องสถาบันมาเล่นงาน แต่จากประวัติและข้อเขียนนายชาญวิทย์เคยบอกว่า สถาบันกษัตริย์ควรอยู่กลางๆ เป็นเพียงตรายาง เหมือนปฏิญญาฟินแลนด์ ส่วนที่นายชาญวิทย์อ้างว่าเวทีพันธมิตรฯ ครั้งนี้ไม่พูดถึงการคอร์รัปชันนั้น ไม่ทราบว่านายชาญวิทย์เคยฟังนายประพันธ์ คูณมี ปราศรัยหรือเปล่า รู้ได้อย่างไรว่าเราไม่มีการพูดเรื่องทุจริต อย่างน้อยๆ ก็พูดถึงกระทรวงการต่างประเทศที่ทุจริตเงิน 7.1 ล้านบาท
นายสนธิกล่าวต่อว่า การต่อสู้ของพันธมิตรฯ ตั้งแต่ปี 2548 จนถึงครั้งนี้ไม่มีครั้งไหนที่ยิ่งใหญ่และสำคัญต่อชีวิตเราเท่าครั้งนี้ เพราะครั้งนี้มันมีนัยถึงการสูญเสียชาติ ที่นายชาญวิทย์บอกว่าพื้นที่ต่างๆ ที่เราต่อสู้นั้นเป็นของเขมรหมด เป็นการใช้ความเป็นนักวิชาการสถุนพูดออกมา พันธมิตรฯ ก็มีนักวิชาการเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นนายเทพมนตรี ลิมปพยอม นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นายศรีศักร วัลลิโภดม ที่เป็นปรมาจารย์และเป็นปูชนียบุคคลเรื่องโบราณคดีที่รู้เรื่องเขมรดีกว่านายชาญวิทย์
นายชาญวิทย์กล่าวหาว่า พันธมิตรฯ เล่นบทชาตินิยมแสดงความคลั่งชาติ แต่ขณะเดียวกันกลับให้สัมภาษณ์บอกว่า เขมรใช้ปราสาทพระวิหารปลุกระดมคนของเขาได้เป็นอย่างดีและน่าชื่นชม แสดงว่านายชาญวิทย์ไม่ใช่คนไทย เพลงหนักแผ่นดินที่แต่งมา 30-40 ปีแล้ว จึงยังทันสมัยและใช้ได้เหมือนเดิม
นายสนธิกล่าวต่อว่า นายชาญวิทย์มีทีมนักวิชาการ พันธมิตรฯ ก็มีเหมือนกัน แต่นักวิชาการของพันธมิตรฯ มาด้วยตัวเปล่า ลงทุนซื้อุปกรณ์ ค้นคว้าหาข้อมูลเอง ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่นักวิชาการของนายชาญวิทย์และหางเครื่อง ได้เงิน 7.1 ล้านบาท และเมื่อมีเงินปิดปากก็ออกมาเถียงแทน แต่นักวิชาการพันธมิตรฯ มาด้วยความรักชาติ ไม่ทราบว่านายชาญวิทย์รักชาติหรือไม่
นายสนธิกล่าวว่า วิธีคิดของนายชาญวิทย์คือตัวอย่างของปัญหาการศึกษาของประเทศไทย อุดมการณ์ชาตินั้น ต้องยึดมั่นในเอกภาพความเป็นหนึ่งเดียว และเรื่องอธิปไตยต้องอยู่เหนือการประนีประนอมใดๆ ทั้งสิ้น การปกป้องอธิปไตยนั้น ไม่ว่าจะถูกหรือผิดต้องปกป้องไว้ก่อน เหมือนพ่อแม่ทุกคนที่สู้เพื่อปกป้องลูกตัวเองไว้ก่อน ไม่ว่าลุกจะถูกหรือผิด วันนี้สิ่งที่นายชาญวิทย์พูดคือการกบฏต่อชาติ และการเอาทูตเขมรมาพูดที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อวันก่อน ถือว่าเป็นกบฏและขายชาติเต็มรูปแบบแล้ว
นายชาญวิทย์ในฐานะที่เป็นอาจารย์ น่าจะอธิบายได้ว่าเรื่องดินแดนไทย-เขมรนั้นยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ต้องมีการพิสูจน์ จุดยืนเป็นอย่างนี้ จุดยืนเขมรเป็นอย่างนี้ อธิบายอย่างเป็นกลางตามหลักวิชาการ แต่นายชาญวิทย์กลับมีแต่บอกว่าเป็นของเขมรทั้งหมด เหมือนกับว่าไปรับเงินเขมรมา นายชาญวิทย์อ้างว่าขอมกับเขมรคือเรื่องเดียวกันดินแดนทั้งไทย-ลพบุรีเคยเป็นของเขมรหมด แต่นักวิชาการอีกกลุ่มบอกว่า ขอมหมายถึงอารยธรรม ไม่ได้แปลว่าเป็นดินแดนของเขมรทั้งหมด เช่น ลักษณะสิ่งปลูกสร้าง การก่อกำแพงแบบที่ปราสาทพระวิหาร หรือนครวัด ที่สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราชก็มี แบบนี้แสดงว่าเขมรเคยเป็นเจ้าของสุราษฎร์ฯ นครศรีฯ หรือว่าเป็นเจ้าของอาณาจักรศรีวิชัยหรือไม่
นายสนธิกล่าวอีกว่า การเดินสายให้ความารู้ของนายชาญวิทย์นั้นไม่โปร่งใส เพราะ 1.รับเงินกระทรวงการต่างประเทศมา และ 2.มีการดึงเอกสารบางส่วนออก ไม่ยอมพูดทั้งหมด แล้วมากล่าวหาว่าพวกตนคลั่งชาติ แต่เมืองไทยนั้นมีคนจากหลายเชื้อชาติเข้ามาอยู่ ไม่ว่าจะเป็นลูกจีน ลูกฝรั่ง ลูกชาวมุสลิม ทำไมจึงรักชาติได้ ก็เพราะชาติไทยเป็นที่รวมของทุกชาติทุกศาสนา เมื่ออยู่ที่นี่แล้วเขาเห็นพ้องกันว่าจะไม่มีวันยอมให้ดินแดนตกเป็นของคนอื่นโดยที่เราไม่ปกป้อง
นายสนธิกล่าวต่อว่า ตนเรียนประวัติศาสตร์มาก็มากพอสมควร อ่านหนังสือมาก็มาก แต่ไม่เคยเห็นคำว่า “หยุดยิงถาวร” เหมือนเอาผัวเมียมาทำสัญญากันว่าต่อไปนี้ห้ามทะเลาะกัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ การหยุดยิงถาวรก็เช่นกัน ถ้าเซ็นสัญญากันแล้วเกิดทะเลาะกันอีกก็ยิงกันใหม่ได้ นี่แสดงว่าต้อวการจะเข้าข้างเขมร จึงใส่คำว่าถาวรเข้าไปในคำว่าหยุดยิง
นายสนธิย้ำว่า นี่คือปัญหาชาติ ซึ่งเกิดจากเรื่องเดียวและแก้ง่ายนิดเดียว นั่นคือ เอ็มโอยู.2543 ที่รัฐบาลยังไม่ยอมเลิก ทั้งที่ถ้าเลิกก็จะเป็นการปฏิเสธแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ไปโดยปริยาย แล้วเราก็บอกว่าถ้าไม่ใช่หลักสันปันน้ำเราไม่เอา เมื่อเลิกไปแล้ว เราก็มีสิทธฺที่จะปกป้องอธิปไตย แต่ว่ารัฐบาลก็มัวงแต่อมอยู่ เพื่อรักษาหน้า เพื่อให้เขมรได้เปรียบ และเพื่อให้สมกับที่แอบไปตกลงกับเขมรเอาไว้ เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาชายแดนไทยจึงมีเบื้องหลังทั้งนั้น ถ้าให้ต่างชาติมาดูคงงงเป็นไก่ตาแตก เห็นชัดๆ ว่าปัญหาอยู่ที่เอ็มโอยู แล้วทำไมไม่เลิก ทั้งที่เงื่อนไขที่จะให้เลิกมีอยู่มากมาย
นายสนธิกล่าวอีกว่า หลังจากพันธมิตรฯ จัดชุมนุมและให้ข้อมูลประชาชนมาเกือบครบ 1 เดือนแล้ว มีคนที่เห็นด้วยเพิ่มมมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่เคยเป็นกลางก็หันมาเห็นด้วย ส่วนบางคนที่เป็นพวกประชาธิปัตย์ก็เปลี่ยนมาอยู่ตรงกลาง คนเหล่านี้มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย แม้ว่าจะไม่ได้มาชุมนุมแต่ก็ติดตามทางทีวี และอินเทอร์เน็ต ถ้านับจำนวนน่าจะเป็น 10 ล้านคน เรากำลังจะเชิญพวกเขาที่เห้นด้วยกับเรามาแสดงพลังสักวันหนึ่ง และตนเชื่อมั่นว่าการต่อสู้ครั้งนี้ต้องชนะ เพราะสู้บนความถูกต้อง ซึ่งไม่มีวันผิด ต่างจากคนที่ทำผิด ที่กลัดกระดุมเม็ดแรกผิดก็จะผิดไปตลอด หรือพวกที่มัวแต่ชักใยแมงมุม
“ดูอย่างนายกษิต ภิรมย์ ทุกวันนี้เดินเป็นไหม พอได้เป็นรัฐมนตรีก็ถีบหัวส่งพวกเรา แล้วยังมีข่าวลืออีกว่าสนธิส่งไปเป็นรัฐมนตรี ชาติหน้าหรืออีกร้อยชาติพันชาติก็ไม่มีวันเป็นไปได้ ออกมาด่าพวกเรา นึกว่าฮุนเซนจะชอบ แต่เห็นไหม นายฮุนเซนบอกว่าให้เขาคุยกับใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่นายกษิต วันนี้จะโดนประชาธิปัตย์ปลดหรือเปล่าก็ไม่รู้ ครั้นจะหันมาหาพันธมิตรฯ หรือคนไทยหัวใจรักชาติ ก็เจอส้นตีนเต็มหน้าไปแล้ว ผมถึงบอกว่าวันนี้เดินไม่เป็นแล้ว คนโบราณถึงได้บอกว่าจะทำอะไรก็ทำไป แต่อย่าให้เสียตัวตอนแก่ นายชาญวิทย์จำไว้ อย่าให้เสียตัวหรือเสียอะไรตอนแก่”