ASTVผู้จัดการรายวัน- ผู้ช่วยทูตทหาร 14 ประเทศตรวจชายแดน“เขาพระวิหาร” ตะลึงอาคารบ้านเรือนพังยับเยินอื้อ ทั้งมีชาวบ้านบาดเจ็บและเสียชีวิต "กำนันเสาธงชัย" จี้รัฐบาลกัมพูชารับผิดชอบ "พันธมิตรฯ" จี้ ทหาร-รัฐบาล แจงลงนามหยุดยิงตามเงื่อนไข 8 ข้อกับเขมร เตือนจะเป็นการทำให้ไทยเสียดินแดนอย่างถาวร “สนธิ” อัด “ชาญวิทย์” รับเงินกต.7.1 ล.เร่ขายชาติ ด้าน "เทือก" ใบ้กินเมื่อถูกถามตกลงกันแล้วทำไมเขมรยังยิงอีก ขณะที่ "กษิต" บินไปอินโดฯ ร่วมเจรจาในที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนวันนี้ สื่อกัมพูชาระบุ ไทยขอให้อินโดฯ ส่งผู้สังเกตุการณ์เข้ามา อ้างไทยขนกำลังรบประชิดชายแดน เตรียมเปิดฉากสงครามครั้งใหญ่
วานนี้(21 ก.พ.)เวลา 09.00 น.ที่สนามโรงเรียนภูมิซรอลวิทยา ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ พล.ท.ศิริชัย ดิษฐกุล รองเสนาธิการทหารบก (1) พร้อมด้วย พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2(มทภ.2), พล.ต.ชวลิต ชุนประสาร ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ได้นำคณะผู้ช่วยทูตทหารจาก 14 ประเทศ
ประกอบด้วยประเทศสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เวียดนาม สปป.ลาว พม่า มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ จีน เกาหลีใต้ ฝรั่งเศส และรัสเซีย เดินทางลงพื้นที่สำรวจความเสียหายจากเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณชายแดนเขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ ซึ่งจากการปะทะกันดังกล่าวทำให้สถานที่ราชการและอาคารบ้านเรือน รวมทั้งวัดของประเทศไทยได้รับความเสียหายจากกระสุนปืนใหญ่ และลูกจรวดของทหารฝ่ายกัมพูชาเป็นจำนวนมาก
**ผงะ!เขมรยิงถล่มบ้าน ปชช.ไทยพังยับ
โดยจุดแรกที่คณะผู้ช่วยทูตทหาร 14 ประเทศลงพื้นที่ตรวจสอบ คือ โรงเรียนภูมิซรอลวิทยา ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ อาคารเรียนได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการถูกกระสุนปืนใหญ่ของฝ่ายกัมพูชา 2 หลังจากนั้นได้ไปตรวจบ้านเรือนของราษฎรไทยที่ถูกกระสุนปืนใหญ่ตกใส่และไฟไหม้เสียหายทั้งหลัง 2 หลังติดกัน รวมทั้งบ้านเรือนประชาชนอีกหลายหมู่บ้านที่ได้รับความเสียหายจากกระสุนปืนใหญ่และลูกจรวดของฝ่ายกัมพูชา จากการปะทะกันในครั้งนี้
ทั้งนี้ คณะผู้ช่วยทูตทหารดังกล่าวได้ให้ความสนใจและซักถามรายละเอียดต่าง ๆ จากคณะนายทหารไทยที่คอยตอบคำถามกับคณะผู้ช่วยทูตทหารทั้ง 14 ประเทศได้รับทราบอย่างเต็มที่ พร้อมใช้กล้องบันทึกภาพเพื่อเก็บหลักฐานข้อมูลอย่างละเอียดด้วย
**บุกตรวจสอบสมรภูมิรบ "เขาพระวิหาร"
เวลา 11.00 น.คณะรองเสนาธิการทหารบกได้นำ คณะผู้ช่วยทูตทหาร 14 ประเทศเดินทางโดยรถตู้ขึ้นไปที่บริเวณอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ต.เสธงชัย อ.กันทรลักษ์ ชายแดนไทย-กัมพูชา และนายทหารของกองทัพภาคที่ 2 ได้บรรยายสรุปเหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาที่เกิดขึ้นให้คณะผู้ช่วยทูตทหารได้รับทราบ ที่ห้องประชุมของศูนย์บริการนักท่องเที่ยวบริเวณผามออีแดง ประมาณ 40 นาที
จากนั้นคณะทั้งหมดได้เดินทางไปตรวจพื้นที่รอบบริเวณผามออีแดง เพื่อสำรวจพื้นที่การสู้รบในครั้งนี้ โดยที่บริเวณศาลาด้านหน้าผามออีแดงใกล้กับเขาพระวิหาร หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 อ.กันทรลักษ์ ได้นำแผนที่ทางการทหารมาติดตั้งไว้และบรรยายให้คณะผู้ช่วยทูตทหารได้รับทราบถึงจุดที่ตั้งของทหารไทยและทหารกัมพูชา รวมทั้งจุดที่มีการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา รอบเขาพระวิหาร
โดยเฉพาะบริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันตก ของเขาพระวิหาร นั้น ได้รับความสนใจจากผู้ช่วยทูตทหารพากันสอบถามถึงพิกัดและที่ตั้งวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระกันอย่างละเอียด เพราะวัดแห่งนี้เป็นจุดที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อ้างสิทธิ์ 4.6 ตร.กม.รวมทั้งภูมะเขือ ซึ่งทหารกัมพูชาและทหารไทยได้ตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ไม่ห่างกันและบริเวณดังกล่าวมีการปะทะกันอย่างรุนแรงเกิดขึ้นเป็นประจำ
นอกจากนี้ คณะผู้ช่วยทูตทหารได้ใช้กล้องส่องทางไกลตรวจดูภูมิประเทศเขาพระวิหารที่เป็นสมรภูมิการสู้รบของทหารไทยกับทหารกัมพูชาอย่างละเอียด เพื่อตรวจดูสภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นรอบบริเวณเขาพระวิหาร โดยมี พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร มทภ.2 และคณะนายทหารสังกัดกองทัพภาคที่ 2 คอยชี้แจงให้ทราบอย่างใกล้ชิด
**เผยทูตทหาร11ปท.ห่วงใยสถานการณ์
พล.ท.ศิริชัย ดิษฐกุล รองเสนาธิการทหารบก (1) กล่าวว่า การที่ได้นำคณะผู้ช่วยทูตทหาร 14 ประเทศ มาตรวจดูพื้นที่การปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา ที่ชายแดนด้านเขาพระวิหารในครั้งนี้เพื่อให้คณะผู้ช่วยทูตทหารทั้ง 14 ประเทศได้รับทราบข้อมูลและได้ดูสถานที่จริงว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรบ้างเกี่ยวกับบริเวณเขาพระวิหาร เพราะที่ผ่านมาผู้ช่วยทูตทหารทุกประเทศล้วนแต่ได้รับทราบข่าวสารจากการรายงานเท่านั้น เมื่อได้มาดูพื้นที่จะทำให้ทราบถึงสถานการณ์ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจากการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา
"จากการที่ได้ลงดูพื้นที่จริงปรากฏว่าผู้ช่วยทูตทหารทั้ง 14 ประเทศ มีความห่วงใยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากบริเวณที่ได้รับความเสียหายนั้นล้วนเป็นเขตพื้นที่พลเรือนอยู่อาศัยทั้งนั้นและทำให้บ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหายจำนวนมาก รวมทั้งมีพลเรือนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต 1 คน ซึ่งผู้ช่วยทูตทหารจีนและเวียดนามได้สอบถามเรื่องนี้ค่อนข้างละเอียดมากและมีความห่วงใยสถานการณ์การสู้รบในครั้งนี้ ซึ่งผู้ช่วยทูตทหารเสนอว่า ควรให้ทั้ง 2 ฝ่ายคือไทยกับกัมพูชาได้มีการเจรจากันเพื่อหาทางยุติเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด"
พล.ท.ศิริชัย กล่าวต่อว่า การปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชานั้น ฝ่ายทหารไทยเราได้ยึดมั่นในกฎระหว่างประเทศเกี่ยวกับการปะทะกันของกองกำลังทหารอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารไทยได้ยึดมั่นในแนวทางการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีมาโดยตลอด ซึ่งเรื่องนี้ผู้ช่วยทูตทหารทั้ง 14 ประเทศเมื่อได้มารับทราบข้อเท็จจริงแล้ว ทำให้เข้าใจถึงสภาพปัญหาและข้อเท็จจริงมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดความเข้าใจที่ดีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของทหารไทยที่จำเป็นต้องตอบโต้ด้วยอาวุธกับทหารกัมพูชาที่บริเวณเขาพระวิหาร ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันรักษาอธิปไตยของชาติไทยอย่างเต็มที่
**"กำนันเสาธงชัย"จี้รัฐบาลกัมพูชารับผิดชอบ
ด้านนายวีรยุทธ ดวงแก้ว กำนันตำบลเสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ กล่าวว่า เป็นการดีอย่างยิ่งที่ผู้ช่วยทูตทหารทั้ง 14 ประเทศได้มาดูของจริงว่า บ้านเรือนของชาวบ้านแนวชายแดนเขาพระวิหาร ในเขต ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ได้รับผลกระทบจากการปะทะกันระหว่างทหารกัมพูชากับทหารไทยอย่างไรบ้าง เท่าที่ทราบทหารที่มีอยู่ในโลกใบนี้ ไม่มีชาติใดที่เขาใช้ปืนใหญ่หรือลูกจรวดยิงถล่มใส่บ้านเรือนของประชาชน ทหารเขาจะต่อสู้เฉพาะกับทหารด้วยกันเท่านั้น
“ทหารกัมพูชาที่มีอาวุธร้ายแรงในมือ กลับยิงถล่มใส่บ้านเรือนประชาชนในเขตแดนไทยทำให้บ้านเรือนเสียหายและชาวบ้านเสียชีวิตแบบนี้ ฝ่ายรัฐบาลกัมพูชาไม่ควรเห็นความเสียหายของประชาชนคนไทยตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นเรื่องเล็กน้อย ฝ่ายกัมพูชาต้องแสดงความรับผิดชอบในเรื่องนี้” นายวีรยุทธ กล่าว
***จี้รัฐบาลแจงลงนามหยุดยิง
เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ (21 ก.พ.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวในการแถลงข่าวกับสื่อมวลชนถึงกรณีที่ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ออกมาระบุว่า เงื่อนไข 8 ข้อที่ทางทหารไทย โดย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสนาธิการทหารบก และพล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร มทภ. 2 ไปตกลงกับทางกัมพูชาในการหยุดยิงนั้น เป็นเพียงแค่การพูดคุย ไม่มีการลงนามแต่อย่างใด เพราะต้องมีการนำเสนอต่อฝ่ายบริหารเสียก่อนว่า ถือเป็นจุดยืนที่ดีของนายกษิต เพียงแต่ข่าวที่ปรากฏออกมาระบุว่ามีการลงนามกันแล้ว รวมทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็ออกมาให้สัมภาษณ์สนับสนุนแนวทางดังกล่าว จึงน่าสงสัยว่า เป็นเพียงการพูดคุย และไม่มีการลงนามจริงหรือไม่
ดังนั้น พล.อ.ดาว์พงษ์ ควรออกมาเปิดเผยความชัดเจนว่า มีการลงนามไปหรือไม่ และได้รับนโยบายจากใคร เพราะหากมีการลงนามจริง จะเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศ ซึ่งต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาเสียก่อน
** เตือนไทยจะเสียดินแดนถาวร
นายปานเทพ กล่าวด้วยว่า หากนายอภิสิทธิ์ สนับสนุนให้ฝ่ายทหารไปเจรจาลงนาม 8 ข้อตกลงดังกล่าว แล้วอ้างว่าเพื่อยุติปัญหาความสงบบริเวณชายแดน ทำให้เกิดความสับสนว่านายกฯ เห็นชอบด้วยในการหยุดยิงโดยไม่กล่าวถึงดินแดนที่กัมพูชารุกล้ำยึดครองอยู่ รวมถึงการรุกล้ำ ที่ละเมิด MOU 2543 ที่ผ่านมา 11 ปี ซึ่งจะทำให้กัมพูชายึดพื้นที่ได้เป็นการถาวร จนกว่ากัมพูชาจะพอใจผลการเจรจาฝ่ายเดียว หรือหากไม่พอใจ ก็สามารถยึดพื้นที่ได้ตลอดกาล ถือเป็นความล้มเหลวในการเจรจา โดยจากรายงานจากสื่อกัมพูชา ระบุชัดเจนว่า ฝ่ายกัมพูชาปฏิเสธข้อเสนอของฝ่ายไทย ที่ต้องการให้มีการวางกำลังในวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ซึ่งทหารไทยถอยออกมาเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.53 ตนเห็นว่า เมื่อไม่มีการวางกำลังในพื้นที่ดังกล่าว กัมพูชา ก็สามารถเดินหน้าแผนบริหารจัดการมรดกโลกได้ทันที
"แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลพยายามปัดพัลวันว่าไม่มีการลงนาม เป็นเพียงการเจรจา จึงต้องขอความชัดเจนจาก พล.อ.ดาว์พงษ์ ว่าลงนามหรือไม่ และได้รับนโยบายจากใคร ซึ่งนายกฯอภิสิทธิ์ ก็เห็นดีเห็นงามด้วย ตกลงกลายเป็นนโยบายรัฐบาลในการหยุดยิง โดยไม่พูดถึงดินแดนที่ถูกรุกล้ำใช่หรือไม่" นายปานเทพกล่าว
โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวว่า หากรัฐบาลไทยยังเดินหน้าในแนวทางนี้ต่อไป ในเวทีรัฐมนตีต่างประเทศอาเซียนในวันที่ 22 ก.พ.นี้ ก็จะมีผลกระทบในระดับรัฐต่อรัฐ ไม่ใช่เพียงฝ่ายทหาร 2 ฝ่าย ต่อไป ยิ่งนายกษิต เสนอให้ทหาร หรือทางการอินโดนีเซีย เข้ามาสังเกตการณ์ในพื้นที่ ยิ่งจะเป็นการผูกมัดหนักไปอีกขั้น เพราะหากมีการหยุดยิงแล้วฝ่ายไทยไปผลักดันกัมพูชาออกจากดินแดน ก็จะกลายเป็นหลักฐานเพิ่มเติมให้นานาชาติเข้าใจผิดว่า ฝ่ายไทยรุกล้ำกัมพูชา เพราะที่ผ่านมาในการต่อสู้บนเวที คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( UNSC ) ไม่ได้มีการกล่าวถึงว่าพื้นที่นี้ เป็นของไทย
**จี้รัฐบาลชี้แจง อย่าปกปิด
นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า รัฐบาลกำลังปกปิดข้อเท็จจริงต่อประชาชน จากท่าทีของนายกรัฐมนตรี แสดงให้เห็นว่า พล.อ.ดาว์พงษ์ คงไม่ได้ไปเจรจาโดยลำพัง หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากฝ่ายนโยบาย หรือรัฐบาล ซึ่งนายกฯอภิสิทธิ์ ยอมรับว่า ได้รับทราบรายงานการเจรจา และให้ความเห็นชอบ ซึ่งในทางปฏิบัติ พล.อ.ดาว์พงษ์ จะต้องรายงานเรื่องนี้ต่อ รมว.กลาโหม เพื่อรายงานต่อไปยังนายกฯ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ฝ่ายทหาร จะไปเจรจาโดยลำพัง ซึ่งในรายงานที่ฝ่ายทหารทำขึ้น จะปรากฏข้อเท็จจริงที่เป็นลายลักษณ์อักษร ว่ามีการลงนามใน 8 ข้อแล้วจริงหรือไม่ ซึ่งจะมีผลผูกพันต่อการไปประชุมของนาย กษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ในเวทีรัฐมนตรีอาเซียน วันนี้ (22 ก.พ.) เนื่องจากฝ่ายกัมพูชา ก็จะได้รับรายงานจากฝ่ายทหารเช่นกัน จึงเชื่อว่า จะมีการหยิบยกขึ้นมาพูดคุยบนโต๊ะอาเซียน ซึ่งจะมีผลกระทบต่อดินแดนไทย
"ขอเรียกร้องให้รัฐบาลชี้แจงเรื่องนี้ต่อสาธารณชน อย่าปกปิดข้อเท็จจริงที่กระทบต่อดินแดนอธิปไตยของประเทศ ซึ่งจุดยืนของนายกษิต ที่ว่าฝ่ายทหารต้องรายงานมาก่อนนั้น อาจเป็นเพียงพูดเพื่อมารยาททางการทูต แล้วสุดท้ายก็เปลี่ยนจุดยืน ว่ามีการรายงานมา และฝ่ายนโยบายเห็นชอบแล้ว ซึ่งทำให้มีผลผูกพันต่อดินแดนไทย" นายประพันธ์ กล่าว
** "มาร์ค-ฮุนเซน" สมยอมกัน
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงความคิดเห็นของ รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ ว่า รศ.ศรีศักร ซึ่งไม่ได้มาเป็นผู้ร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ แต่ได้เกาะติดปัญหาข้อพิพาทไทย-กัมพูชา มาโดยตลอดได้วิเคราะห์ว่าปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นความสมยอมกันระหว่างนายอภิสิทธิ์ และนายฮุนเซน โดยเฉพาะรัฐบาลไทยที่ทำผิดพลาดมาโดยตลอด แสดงว่าสิ่งที่พันธมิตรฯ เรียกร้องนั้นไม่ได้เป็นเรื่องที่พูดขึ้นมาเอง แต่อาศัยหลักฐานเอกสารต่างๆ รวมทั้งความเห็นของนักวิชาการที่เชี่ยวชาญ จึงสรุปได้ว่าเป็นความผิดของรัฐบาลไทยจริงๆ
***อัดชาญวิทย์รับ7.1ล.เร่ขายชาติ
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกล่าวว่า การที่นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักวิชาการนำเสนอข้อเขียนที่ให้ความเห็นคล้ายปฏิญญาฟินแลนด์ชอบพาดพิงถึงสถาบันอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังมีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ทุจริต คอร์รัปชัน อย่างน้อยก็มีการทุจริตจากกระทรวงการต่างประเทศทุจริต 7.1 ล้านบาทมาเกี่ยวข้อง แต่ครั้งนี้พันธมิตรฯ ยกเรื่องการเสียดินแดนเป็นไพ่ใบสุดท้ายในการต่อสู้
“สิ่งที่คุณชาญวิทย์พูดที่หอประชุมธรรมศาสตร์เข้าข่ายขายชาติเป็นกบฏเต็มรูปแบบ สามารถพูดได้ว่าเรื่องดินแดนยังเป็ฯปัญหากันอยู่แต่กลับบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของเขมรเหมือนไปรับเงินเขมรมามันไม่ใช่เรื่องถูกต้อง การอ้างว่าขอมเป็นเจ้าของพื้นที่แล้วเขมรก็เป็นเจ้าของทั้งหมดก็ไม่ถูกต้องต้องแยกให้ถูกระหว่างอารยธรรมขอมกับชนชาติเขมร การเดินสายให้ข้อมูลของคุณชาญวิทย์มันไม่ถูกรับเงินกระทรวงการต่างประเทศมา 7.1 ล้าน” นายสนธิกล่าว
**อ้างระดับจนท.คุยกัน ไม่เกี่ยวรัฐบาล
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีกัมพูชาเรียกร้องให้ไทยลงนามหยุดยิง ซึ่งทางฝ่ายทหารไทยไปเจรจาโดยไม่มีการหารือกับทางกระทรวงการต่างประเทศก่อนว่า ความจริงการพูดคุย หรือปรึกษาหารือกันของกระทรวงการต่างประเทศกับกระทรวงกลาโหมมีอยู่เป็นประจำ ข่าวที่บอกว่าผู้บังคับบัญชาของทหารทั้ง 2 ฝ่าย ไปพูดคุยกันนั้น เป็นเรื่องของการพูดคุยในระดับเจ้าหน้าที่ อยู่ในพื้นที่เท่านั้น ซึ่งก็ได้ข้อยุติว่าต้องหลีกเลี่ยงที่จะไม่ปะทะด้วยอาวุธ เพราะมีแต่ความเสียหาย แต่ไม่ได้ไปทำสัญญาอะไรกัน เป็นธรรมดาคนมีเรื่องกัน ใช้กำลังด้วยกัน เขาก็มานั่งปรึกษาหารือกัน ซึ่งวิธีนี้ก็ใช้กันมาตลอด ไม่ได้กระทบอะไรกับสนธิสัญญา หรือการที่จะต้องไปผ่านความเห็นชอบจากสภาก่อน เพราะไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลไปทำข้อตกลง เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เท่านั้น
** "เทือก"สีข้างถู คุยแล้วยังยิงกันอีก
ผู้สื่อข่าวถามว่าขนาดมีการคุยกัน พอคล้อยหลังไม่กี่ชั่วโมงก็ยิงกันอีกแล้ว รองนายกฯ กล่าวว่า การที่เขาไปนั่งคุยกัน ก็เพื่อพยายามที่จะทำให้เกิดความเชื่อใจระหว่างกัน ว่าถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ ก็ต้องอดทนกันหน่อย หลีกเลี่ยงกันหน่อย
" ทหารจริงๆ แล้วถ้าไม่จำเป็นเขาไม่รบพุ่งกันหรอก มีแต่คนที่ยุอยู่ข้างนอก กระหายสงคราม ก็คิดกันไปเรื่อย สงครามไม่เป็นประโยชน์กับใคร" รองนายกฯกล่าว
เมื่อถามว่าการพูดคุยกันเป็นลักษณะของสัญญาลูกผู้ชาย แต่ก็กลับมีการยิงกันอีก แสดงว่า เขาคบไม่ได้ใช่หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ก็ต้องแก้กันไป อย่าไปสรุปง่ายๆ อย่างนั้น " ถ้าทหารคิดง่าย ๆ แบบคุณ ก็ยิงกันระเบิดเถิดเทิงกันไปหมดแล้ว ทหารเขาทำถูกแล้วที่จะทำให้เหตุการณ์ลดความรุนแรงลง เบาบางลง ลดความตึกเครียดลง" นายสุทพ กล่าว
**"กษิต"บินไปอินโดฯประชุม"อาเซียน"
ส่วนการไปเจรจาในเวทีรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน นั้น ทางกระทรวงการต่างประเทศจะได้ชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบเป็นระยะ ซึ่งตนคงไม่จำเป็นต้องไปร่วมหารือในการกำหนดกรอบแนวทางที่จะไปเจรจาด้วย เพราะนายกฯในฐานะที่เป็นหัวหน้าตน ไปร่วมหารือด้วยแล้ว และไม่ทราบว่ากรอบแนวทางที่จะนำไปหารือมีอะไรบ้าง ต้องถามทางกระทรวงการต่างประเทศ
เมื่อถามกรณีที่นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกฯ ที่ไปร่วมงานแสดงสินค้าที่กัมพูชา ระบุว่าทางกัมพูชาไม่พอใจรัฐมนตรีต่างประเทศของไทย และตราบใดที่ยังเป็นนายกษิต ภิรมย์ อยู่ก็คงยาก รองนายกฯ กล่าวว่า ก็น่ารักดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 12.40 น.วานนี้ (21 ก.พ.) นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ พร้อมคณะ อาทิ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรมว.ต่างประเทศ นายธีรกุล นิยม ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไปยังกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อเตรียมเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ที่จะมีขึ้นในวันนี้ (22 ก.พ.) โดยนายกษิต ไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ
**ไทยขอให้อินโดฯส่งผู้สังเกตุการณ์เข้ามา
วานนี้ (21 ก.พ.) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า นายฮอร์ นัมฮง รมว.ต่างประเทศ ของกัมพูชาได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่สนามบินนานาชาติพนมเปญ ก่อนออกเดินทางไปร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ถึงกรณีที่นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศของไทย ระบุว่า จะขอให้รัฐบาลอินโดนีเซีย ส่งผู้สังเกตการณ์มาอยู่กับกองกำลังทหารไทยบริเวณชายแดนว่า กัมพูชายินดีที่ไทยมีความตั้งใจที่จะขอให้อินโดนีเซียส่งผู้สังเกตการณ์มาอยู่กับกองกำลังทหารไทย บริเวณชายแดนที่เป็นข้อพิพาท ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับปราสาทเขาพระวิหาร
"การที่ไทยเห็นด้วย ในเรื่องคณะผู้สังเกตการณ์ซึ่งเป็นเรื่องดีที่สุด และถือเป็นก้าวบวกในการประชุมที่จาการ์ต้าวันที่ 22 ก.พ.นี้"
นายฮอร์ นัมฮง กล่าวด้วยว่า ความเคลื่อนไหวของไทยในครั้งนี้ เป็นผลมาจากการร้องเรียนของทางกัมพูชาไปยังคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ให้ส่งผู้สังเกตการณ์มายังบริเวณชายแดนที่เกิดข้อพิพาท เพื่อรับประกันการหยุดยิง และเพื่อสังเกตการณ์ว่า ฝ่ายใดเป็นผู้บุกรุกที่แท้จริง ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายยังคงกล่าวโทษกันและกันอยู่
** อ้างไทยจะเปิดสงครามใหญ่
ขณะที่หนังสือพิมพ์กัมพูชาทมัย (กัมพูชาใหม่) ได้เสนอหัวข้อข่าวหน้าหนึ่งของ นสพ.ว่า ความตึงเครียดเกิดขึ้นอีก เนื่องจากทหารไทยต้องการวางกำลังทหาร บนวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ โดยเนื้อข่าวของ นสพ.กัมพูชาทมัย รายงานว่า การเจรจาระหว่างแม่ทัพส่วนหน้าของกัมพูชา กับ แม่ทัพของไทย เมื่อวันที่ 19 ก.พ. ที่ผ่านมา ต้องล้มเหลว เนื่องจากทหารไทยเสนอขอวางกำลังทหารบนวัดแก้วสิกขาฯ แต่ฝ่ายกัมพูชาไม่ยินยอม ทำให้แม่ทัพไทยไม่พอใจ จึงเกิดความตึงเครียดบริเวณชายแดนปราสาทพระวิหาร ขึ้นมาอีก
นอกจากนี้นสพ.กัมพูชาทมัย ยังรายงานอีกว่า ขณะนี้ทางการไทยได้ส่งกำลังทหารกว่า 15,000 นาย พร้อมยุทโธปกรณ์ทางสงคราม มาประชิดชายแดนกัมพูชา ใน 3 จังหวัด คือ จ.สระแก้ว, จันทบุรี และ ตราด โดยเป็นกำลังจากทหารบก, ทหารเรือ และ ทหารอากาศ และเตรียมที่จะเปิดสงครามใหญ่กับกัมพูชา
***เขมร จ้างฝรั่งส่งศาลโลกตีความ
เว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟ เผยแพร่รายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์กัมพูชาใหม่ระบุว่า กัมพูชาเตรียมจ้างนักกฎหมายจาก 3 ชาติ คือ ฝรั่งเศส, สหราชอาณาจักร, และออสเตรเลีย เพื่อเตรียมเรื่องยื่นต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ขอให้ตีความคำตัดสินเมื่อปีพ.ศ.2505 (ค.ศ.1962) กรณีปราสาทพระวิหาร นอกจากนี้มีการรายงานว่าประเทศไทยได้ส่งทหารเพิ่มเข้าไปยังพื้นที่พระวิหารอีก 3,000 นาย จากเดิมที่ได้มีการเสริมกำลังเข้ามา 15,000 นาย ระหว่างการต่อสู้วันที่ 4-7 กุมภาพันธ์
** สมาคมสื่อไม่ง้อมาร์ค จัดเสวนากันเอง
สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ออกแถลงการณ์ เรื่องการจัดเวทีเพื่อสะท้อนมุมมองสื่อในการหาทางออกกรณีข้อพิพาทไทย-กัมพูชา เนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางสมาคมฯ ได้เดินทางไปพบตัวแทนพันธมิตรฯ และ นายกรัฐมนตรี เพื่อเชิญผู้แทนทั้งสองฝ่าย เข้าร่วมเวทีกลาง ซึ่งสมาคมฯ พร้อมจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น เพื่อให้มีการสื่อสาร และให้ข้อมูลกับสาธารณะอย่างรอบด้าน บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง และเปิดให้แต่ละฝ่ายได้ตอบข้อซักถาม เพื่อสร้างความเข้าใจประเด็นที่ยังไม่ชัดเจนในกรณีพิพาทเขตแดนไทย- กัมพูชา ปรากฏว่า ข้อเสนอของสมาคมฯ ยังไม่ได้รับการตอบรับอย่างเอกฉันท์จากทั้งสองฝ่าย ในด้านรูปแบบที่สมาคมฯเสนอให้เป็นการคุยในเวทีเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม สมาคมฯ เห็นความสำคัญของการต้องมีเวทีพูดคุย เพื่อให้ข้อมูลที่รอบด้านต่อกรณีข้อพิพาทดังกล่าวให้สังคมได้รับรู้ จึงกำหนดจัดเวทีเสวนา "ทางออกกรณีไทยและกัมพูชาในมุมมองสื่อ" โดยจะเชิญผู้แทนสื่อมวลชน ที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญด้านไทยและกัมพูชามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และมุมมอง ในวันเสาร์ที่ 26 ก.พ. 54 เวลา 10.00-12.00 น. ณ อาคารสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ถ.สามเสน ต่อไป