xs
xsm
sm
md
lg

“ประพันธ์” ประณามรัฐอำมหิตสมคบ “ฮุนเซน” หวังให้ “วีระ” ตายคาคุกเขมร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย (แฟ้มภาพ)
โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย ซัดรัฐทำไม่น่าให้อภัย หลัง กต.แฉ 2 คนไทยยังไม่ได้ลงนามขออภัยโทษ เหตุเขมรไม่ให้ทูตไทยพบ ฉะ “พนิช-ชวนนท์” พล่ามหวังคนเข้าใจผิด ประณามรัฐอำมหิต สมคบ “ฮุนเซน” ให้ตายคาคุก จี้รับผิดชอบ



 คลิกที่นี่ เพื่อฟังเสียง นายประพันธ์ คูณมี  

วันนี้ (16 มี.ค.) ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย ร่วมกันแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยนายประพันธ์กล่าวว่า ตลอด 51 วันของการชุมนุมได้มีการนำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงผ่านเวทีปราศรัย ที่มีความหนักแน่นและมีเหตุผล จนยากที่จะปฏิเสธได้ถึงความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน ทำให้คนไทยตกต่ำ เสื่อมเสียเกียรติภูมิศักดิ์ศรี ที่ให้กัมพูชาเหยียบย่ำมาโดยตลอด ในอดีตเราเคยถูกชาวกัมพูชาเผาธงชาติและเผาสถานทูต แต่ก็ไม่ได้มีมาตรการตอบโต้ใดๆ พอมายุคนี้หนักขึ้นไปอีกเมื่อต้องสูญเสียดินแดนและอธิปไตย

นายประพันธ์ยังได้กล่าวถึงมาตรการให้ความช่วยเหลือนายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ 2 คนไทยที่ยังถูกคุมขังอยู่ที่กัมพูชาด้วยว่า ไม่น่าที่จะให้อภัยรัฐบาล เมื่อพบว่านายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ ในฐานะโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ออกมายอมรับว่า 2 คนไทยยังไม่ได้ลงนามในหนังสือเพื่อขอถอนคำอุทธรณ์ และขอพระราชทานอภัยโทษ เพราะทางการกัมพูชาไม่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่สถานทูตไทยเข้าพบนายวีระ และ น.ส.ราตรี ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอัปยศอดสูมากที่รัฐบาลไทยไม่รู้จักใช้สิทธิที่จะเข้าพบผู้ต้องขังที่เป็นคนไทย ทั้งที่เป็นรัฐซึ่งมีสิทธิเข้าพบผู้ต้องหาที่เป็นพลเมืองของตนเองได้ตลอดเวลา ไม่ว่าโดยหลักกฎหมาย หรือสนธิสัญญาความร่วมมือระหว่างประเทศ จึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดรัฐบาลไทยถึงได้ตกต่ำเพียงนี้

โฆษกคณะกรรมการฯ กล่าวอีกว่า ที่สำคัญเมื่อย้อนกลับไปยังพบว่ากระทรวงการต่างประเทศโดยนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขาฯ รมว.ต่างประเทศ ที่ออกมาระบุเมื่อวันที่ 26 ก.พ.ว่าทั้ง 2 คนไทยได้ลงนามในหนังสือขออภัยโทษไปแล้ว รวมทั้งนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ก็ออกมาระบุในทำนองเดียวกันในวันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมา แสดงว่ารัฐบาล กระทรวงการต่างประเทศ และคนใกล้ชิดนายกฯ มีพฤติกรรมต้องการให้ประชาชนชาวไทยและญาติของนายวีระเข้าใจผิด

“ขอประณามรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ว่ามีความอำมหิต ไม่ทำหน้าที่ของรัฐบาลที่เป็นตัวแทนของคนทั้งประเทศ ในฐานะรัฐไทยที่มีประชากร 66 ล้านคน มีศักยภาพทุกอย่าง มีข้อตกลงทางกฎหมายที่จะช่วยเหลือคุ้มครองสิทธิพลเมืองให้คนของเรา แต่รัฐบาลไม่ได้ทำหน้าที่ช่วยเหลือคุณวีระและคุณราตรีเลย” นายประพันธ์กล่าว

นายประพันธ์กล่าวต่อว่า รัฐบาลควรจะแสดงความรับผิดชอบ แต่วันนี้รัฐบาลทำตัวแบบคนหูทวนลม มีอคติต่อประชาชนไทยผู้รักชาติ ไม่ฟังเสียงประชาชน หากรัฐบาลยังอยู่ในจุดยืนนี้ วันหนึ่งประชาชนทั้งประเทศจะทนไม่ได้ ซึ่งก็ไม่อาจคาดได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เพราะทุกวันนี้พี่น้องประชาชนไทยมีความอึดอัดคับแค้นใจต่อการทำหน้าที่ของรัฐบาล แม้แต่ข้อเสนอการขอโอนย้ายผู้ต้องโทษจากกัมพูชาที่มีสนธิสัญญากันอยู่ก็ไม่ทำ ทั้งที่เป็นช่องทางที่ประนีประนอมที่สุดแล้ว รัฐบาลยังไม่เดินหน้าใดๆ เลย ขณะที่ญาติของทั้ง 2 คนได้แจ้งความประสงค์ให้ต่อรัฐบาลไปแล้ว

นายประพันธ์กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศอ้างว่าติดเงื่อนไขต่างๆ ไม่สามารถดำเนินการได้ ทั้งที่นายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล เลขานุการศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป้นผู้เสนอแนวคิดการโอนย้ายตัวผู้ต้องโทษ ระบุชัดเจนว่าที่ผ่านมาไทยส่งนักโทษกลับกัมพูชา 800 กว่าคน ขณะที่กัมพูชาส่งกลับมาไทยเพียง 8 คน ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องต่างตอบแทนที่จะสามารถไปเจรจาในส่วนของรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ ได้

โฆษกคณะกรรมการฯ กล่าวต่อว่า เรามีกรมคุ้มครองสิทธิประชาชน สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ที่มีงบประมาณและหน้าที่ช่วยคนไทยที่ไปตกทุกข์ต่างแดน ไม่ว่าจะเผชิญภัยธรรมชาติหรือการต่อสู้คดี กรมนี้มีหน้าที่ให้ความช่วยเหลือ แต่เรื่องนี้กลับไม่ออกมาทำหน้าที่ แม้แต่เรื่องของทนายความที่ต้องดำเนินการให้ ไม่ใช่หน้าที่ของประชาชนไทยที่จะไปให้การช่วยเหลือได้ จะให้ประชาชนเคลื่อนไปกดดันกัมพูชาหรือเผาสถานทูตกัมพูชา ก็ไม่ใช่วิถีของพวกเรา ภาคประชาชนจึงพยายามชี้ช่องให้แล้ว แต่ไม่มีการตอบสนอง

“แสดงให้เห็นว่าทั้งรัฐบาลไทยและนายฮุนเซนสมคบกันให้นายวีระถูกขังต่อไป ซึ่งรายงานข่าวทางลับก็ทราบมาว่าผู้มีอำนาจทางทหารและรัฐบาลต้องการให้นายวีระตายในคุกเขมร เพราะนายวีระเป็นปากเป็นเสียงไปขัดขวางช่องทางหาประโยชน์ของนักการเมืองของทั้ง 2 ประเทศ” นายประพันธ์กล่าว

ในส่วนการพิจารณาร่างบันทึกการประชุมกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) 3 ฉบับ ในสัปดาห์หน้านั้น นายประพันธ์กล่าวว่า คณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย ได้ยื่นเตือนทั้งรัฐบาลและสมาชิกรัฐสภา ไม่ให้นำบันทึกเจบีซีทั้ง 3 ฉบับเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรงที่จะทำให้ประเทศชาติต้องเสียหายอย่างใหญ่หลวง เท่ากับเป็นการยอมรับการสูญเสียดินแดนอธิปไตยอย่างเป็นทางการ ซึ่งยากที่จะโต้แย้งในเวทีระหว่างประเทศได้ ทำให้หากมีการเปลี่ยนรัฐบาลก็ยากที่จะเรียกร้องดินแดนคืนมา ดังนั้นการชุมนุมจึงต้องยืนหยัดต่อไป แม้ว่ารัฐบาลจะหามาตรการมากลั่นแกล้งพวกเราอย่างไรก็ตาม จนกว่าปัญหาทั้งหมดจะได้รับการแก้ไข ทั้งนี้จะมีการกำหนดมาตรการเพื่อหยุดยั้งไม่ให้ร่างทั้ง 3 ฉบับได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาไทย โดยในส่วนการดำเนินคดีก็จะเป็นไปตามขั้นตอน หากมีการพิจารณาเห็นชอบบันทึกทั้ง 3 ฉบับของรัฐสภา

ขณะที่ พล.ต.จำลองกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ทีมงานอยู่ในระหว่างการรวบรวมข้อมูลเพื่อชี้ให้ประชาชนไทยเห็นว่า หากรัฐบาลยังดึงดันในแนวนโยบายเช่นนี้ จะทำให้ประเทศไทยต้องเสียดินแดนอีก 1.8 ล้านไร่ ใน 7 จังหวัด ตั้งแต่ จ.อุบลราชธานี ถึง จ.ตราด เฉลี่ยแล้วแต่ละจังหวัดจะเสียดินแดนไปกว่า 2 แสนไร่ ซึ่งจะเริ่มนำเสนอให้คนไทยได้ทราบว่าที่ดินส่วนใดบ้างที่จะสูญเสียไป เพราะกัมพูชาไม่หยุดอยู่แค่พื้นที่ 4.6 ตร.กม. หรือ 2.8 พันไร่ รอบปราสาทพระวิหารเท่านั้น ต้องการรุกรานไทยตลอดแนวชายแดน

พล.ต.จำลองยังได้กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจของสภาผู้แทนราษฎรด้วยว่า ปัญหาเรื่องการสูญเสียดินแดนถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิต แต่นักการเมืองกลับไม่เห็นความสำคัญ แม้กระทั่งในที่ประชุมสภาฯ ก็ไม่มีการพูดถึงเท่าที่ควร เพราะพรรคฝ่ายค้านและรัฐบาลมีแผลที่มีส่วนในการทำหน้าสูญเสียดินแดนเหมือนกัน

“วันนี้เราได้สูญเสียดินแดนไปแล้ว แต่ผมขอยืนยันว่าคนไทยผ็รักชาติรักแผ่นดินอย่าเพิ่งท้อ เนื่องจากยังมีความหวังเรียกคืนมาได้ หากรัฐบาลทำตาม 3 ข้อเรียกร้องที่เราได้เสนอไป” พล.ต.จำลองกล่าว

พล.ต.จำลองกล่าวอีกว่า มีอดีต พ.อ.หญิงคนหนึ่งมาเสนอกับตนว่า ทันทีที่รัฐบาลสลายการชุมนุม ขอให้เรียกผู้ที่เสียเงินไปคนละ 1 บาทให้แก่รัฐบาลในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในการต่อสู้คดีเขาพระวิหารเมื่อปี 2505 ออกมารวมแสดงพลังกับผู้ชุมนุมตรงนี้ด้วย เพราะทราบว่าคนเหล่านั้นมีความโกรธแค้นรัฐบาลไทยมากที่กำลังจะซ้ำรอยกรณีสูญเสียปราสาทพระวิหาร

ส่วนกรณีของนายวีระ และ น.ส.ราตรี พล.ต.จำลองกล่าวว่า ทางคณะกรรมการฯมีการหารือตั้งทีมงานเพื่อดำเนินการช่วยเหลือ 2 คนไทย แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็พบว่าไม่สามารถทำการช่วยเหลือได้ เนื่องจากขาดเครื่องมือหรืออำนาจต่อรองในเวทีระหว่างประเทศ ดังนั้นจึงเห็นว่าควรเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะให้การช่วยเหลือ แต่ที่ผ่านรัฐบาลกลับไม่มีความความพยายามเท่าที่ควร ทั้งที่มีช่องทางมากมาย ตนจึงขอตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลไทยและกัมพูชาสมคบกันในการไม่ต้องการให้นายวีระกลับประเทศไทยได้ เนื่องจากเกรงว่าจะออกมาเปิดเผยข้อเท็จจริงในสิ่งที่ตัวเองในเผชิญตลอดเวลาที่ถูกจับกุมอยู่ในกัมพูชา ทำให้ผู้มีอำนาจเสียประโยชน์ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น