ส.ส.เพื่อไทยลุกถามงบกลางปี 54 นายกฯ ถามทำไมของบฟื้นฟูภัยพิบัติเริ่มทั้งที่ขอไปแล้ว ชี้รัฐคาดการณ์รายได้คลาดเคลื่อน ซัดจัดงบ อปท.หวังหาเสียง ไม่มีตัวเลขชัดเจน เชื่อเป็นนิติกรรมอำพราง เจ้าตัวแนะไปเปิดซีดีดูรายละเอียดเอา ยันมีครบถ้วน จัดสรรถูกกระทรวง ชี้หวังรัฐบาลหน้ายืดหยุ่นจัดการงบ แนะเจอไม่เหมาะสมให้ตัดมาเลย
วันนี้ (16 ก.พ.) ที่รัฐสภา นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงหลักการและเหตุผลต่อที่ประชุม ว่า การตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 จำนวน ไม่เกิน 1 แสนล้านบาท สำหรับเป็นค้าใช้จ่ายของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น 1.58 หมื่นล้านบาท และเพื่อชดใช้เงินคงคลังจำนวน 8.4 หมื่นล้านบาท โดยมีเหตุผลจำเป็นคือรัฐบาลต้องนำเงินไปดำเนินการฟื้นฟู ช่วยเหลือ และแก้ปัญหาผลกระทบที่มาจากอุทกภัย และการจัดสวัสดิการด้านสังคมซึ่งไม่ทั่วถึง โดยเงินจำนวน 1.58 ล้านบาทนั้น แยกได้เป็น 1.เพื่อฟื้นฟูและแก้ปัญหาผลกระทบจากภัยพิบัติ จำนวน 9.9 พันล้านบาท 2.งบตามแผ่นงานสวัสดิการสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จำนวน 4.9 พันล้านบาท และ 3.งบส่งเสริมการกระจายอำนาจปกครอง จำนวน 1 พันล้านบาท
ขณะที่ นายเจริญ จรรย์โกมล ส.ส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย ได้ ลุกขึ้นถามนายกฯ ว่า ก่อนหน้านี้งบกลางปี 54 รัฐบาลเคยขอสภา เพื่อนำไปใช้จ่ายเกี่ยวกับการฟื้นฟูภัยพิบัติ 4 หมื่นล้าน ซึ่งจากการติดตามพบว่าได้เบิกจ่ายไปแล้ว 2 หมื่นล้านบาท และยังเหลืออีกกว่า 2 หมื่นล้านบาท ขอถามนายกฯ ว่าจำเป็นหรือไม่ที่ต้องจัดสรรงบรายจ่ายเพิ่มเติมเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ภัยพิบัติและให้องค์กรส่วนท้องถิ่นอีกทำไม และจำเป็นหรือไม่
โดยนายอภิสิทธิ์ชี้แจงว่า ในส่วนงบกลางปี จำนวน 4.7 หมื่นล้านบาทนั้น ได้นำไปช่วยเหลือประชาชน และชดเชยความเสียหายด้านการเกษตรกรรม ไปแล้วประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท อีก 2.5 หมื่นล้านใช้จ่ายตามปกติ ดังนั้น เมื่อเทียบกับงบประมาณในปีอื่นๆ ก็จะพบว่าเงินที่เหลือจะสามารถใช่ได้เพียง 2-3 เดือนเท่านั้น ถ้าดึงงบกลางปี มาใช้อีกก็อาจจะเป็นปัญหาได้ในอนาคต ถึงการของบประมาณดังกล่าวรัฐบาลยืนยันในเรื่องความโปร่งใสได้นำเสนอรายละเอียดโครงการที่ขอไว้ในแผ่นซีดีให้ ส.ส.ได้ติดตาม
จากนั้นนายชัยได้ดำเนินการประชุมต่อ โดยได้ถามหาหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งตามระเบียบต้องเป็นผู้นำการอภิปราย ทั้งนี้ นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทยได้ลุกขึ้นอภิปรายและกล่าวว่าตนได้รับมอบหมายจากพรรคเป็นผู้อภิปรายนำคนแรก แต่ไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค ตามที่นายชัยยัดเยียด ทั้งนี้ จากการตรวจสอบจากข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลัง พบว่าการประมาณการณ์รายได้ของรัฐบาลในปี 2554 นั้นถือว่ามีความคลาดเคลื่อน ดูได้จากการเปรียบเทียบรายรับ-รายจ่ายการคลังของประเทศ ตั้งแต่ปี 2553 ที่ตัวเลขคาดการณ์ไม่เป็นไปตามเป้า อาทิ ปี 53 จัดเก็บได้ 1.6 แสนล้าน แต่รัฐบาลคาดการณ์ไว้ที่ 1.7 ล้านบาท
นายสุรพงษ์กล่าวอีกว่า ที่รัฐบาลระบุว่าตัวเลขเงินคงคลังเพิ่มขึ้น ตนมองว่าเพราะว่าเป็นเงินที่ได้มาจากการยึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องหาก่อการร้าย จำนวน 4.7 หมื่นล้าน และนำไปใช้จ่ายเกี่ยวกับรายจ่ายประจำ เช่น เบี้ยสวัสดิการข้าราชการ พนักงานของรัฐ นอกจากนั้นแล้วกรณีที่ตั้งงบไว้เพื่อจัดสรรให้กับองค์กรส่วนท้องถิ่น และกระทรวงต่างๆ นั้น ตนยืนยันว่าเป็นการให้ประโยชน์ต่างตอบแทนเพื่อใช้ในการหาเสียง
“ทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย ในตำแหน่งอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง บอกว่างบประมาณนี้เป็นนิติกรรมอำพราง เพราะงบที่แท้จริงไม่ใช่จำนวน 8.4 หมื่นล้าน แต่เป็นงบส่วน 1.58 ล้านบาท ซึ่งเป็นการจัดสรรเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ เพราะไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนโดยเฉพาะงบก่อสร้าง พัฒนา สร้างถนน สะพาน หรือซ่อมแซม ไม่มีตัวเลขรายละเอียดที่ชัดเจน อาจเป็นที่มาของโอกาสของการเรียกผลประโชน์ให้ผู้รับเหมาของตนเองเข้าไปหาผลประโยชน์” นายสุรพงษ์กล่าว
จากนั้นนายอภิสิทธิ์ชี้แจงตอบโต้นายสุรพงษ์ว่า การจัดสรรงบประมาณดังกล่าวไม่ได้เป็นนิติกรรมอำพราง เพราะมีรายละเอียดของโครงการที่เสนอขออย่างครบถ้วน แม้กระทั่งโครงการใดที่มีวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท ก็ระบุรายละเอียในซีดีอย่างครบถ้วนพร้อมรูปถ่าย อย่างไรก็ตาม การของบเพิ่มเติมนั้น เพื่อให้รัฐบาลหลังการเลือกตั้งมีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการงบ เพราะหากรัฐบาลไม่เสนองบกลางปี ไม่ว่าใครที่มาเป็นรัฐบาลต่อก็ต้องจัดสรรงบเพื่อชดใช้เงินคงคลัง ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการมัดมือมัดเท้ารัฐบาลชุดต่อไปจึงต้องของบรายจ่ายเพิ่มเติม
“วันนี้การขอเงินเพิ่มเติม หากรายการไหนที่ท่านเห็นว่าไม่เหมาะสมขอตัดไปเลย และผมยืนยันตัดเที่ยวนี้ไม่มีการแปรกลับเพิ่ม และจะนำเงินที่เหลือเข้าคลัง เราได้พยายามกลั่นกรองในเรื่องที่จำเป็น ไม่ใช่เรื่องต่างตอบแทนหรือหาเสียง หากท่านเห็นว่าพื้นที่ใดทรุดโทรม แล้วจะซ่อมแซมภายหลัง ก็ขอให้นำไปใช้ในการหาเสียง แต่รัฐบาลนี้ไม่ทำ ผมจะซ่อม สร้าง และฟื้นฟูชีวิตประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ที่บอกว่าการจัดสรรงบเป็นการต่างตอบแทนพรรคร่วม ขอเรียนว่าในส่วนถนนพังจะจัดงบไปที่กระทรวงวัฒนธรรมได้หรือ ผมก็ต้องจัดไปให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กระทรวงคมนาคม โรงเรียนพังจะให้ผมจัดงบให้กระทรวงมหาดไทยหรือ ผมก็ต้องจัดให้กับกระทรวงศึกษาธิการ ผมมั่นใจว่าพรรคร่วมรัฐบาลเขาดูความเป็นจริง หากท่านมองงบเป็นเรื่องต่างตอบแทนก็เป็นมุมมองของท่าน แต่ผมยืนยันว่ากระบวนการทำงบโปร่งใส ไม่มีการตอบแทน แต่เป็นความรับผิดชอบของหน่วยงานต่างๆ” นายอภิสิทธิ์ชี้แจง