ก.ม.ม.ประกาศหนุนการชุมนุมพันธมิตรฯ “สำราญ” ยันขึ้นเวทีเป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวกับพรรค หรือใช้การชุมนุมเป็นเครื่องมือในการหาเสียง ชี้มวลชนยกระดับให้ลาออกเพราะแก้ไขปัญหาชายแดนล้มเหลว ระบุเสียดายโอกาส รบ.ไม่ฟังภาค ปชช. มัวแต่สร้างวิวาทะไปวันๆ จวก “บิ๊กตู่” พูดจาทำร้ายความรู้สึก ปชช. แนะทบทวน MOU ต้นเหตุความสูญเสีย
วันนี้ (6 ก.พ.) ที่พรรคการเมืองใหม่ นายสำราญ รอดเพชร รองหัวหน้าและโฆษกพรรคการเมืองใหม่ แถลงข่าวสนับสนุนการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดินของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยกล่าวว่าที่ผ่านมาอาจมีกรรมการบริหารพรรคบางคนไปร่วมปราศรัยในการชุมนุมบ้าง เช่น นายสมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าพรรค นายสุริยะใส กตะศิลา เลชาธิการพรรค รวมทั้งตนเองด้วยนั้น ขอยืนยันว่าเป็นเรื่องส่วนตัว เพราะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาในอดีตอย่างที่ทราบกันดี ไม่เกี่ยวกับวาระทางการเมืองหวังถึงการหาเสียงใดๆ ให้กับพรรคการเมืองใหม่ อย่างไรก็ตาม พรรคการเมืองใหม่ขอสนับสนุนและเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ รวมถึงเครื่อประชาชนที่ปกป้องแผ่นดินใน 3 ประการ คือ ให้ยกเลิก MOU 2543 ถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลก และผลักดันกองกำลัง ชุมชนชาวกัมพูชาออกจากผืนแผ่นดินไทย
นายสำราญกล่าวต่อว่า ในส่วนการยกระดับข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ ที่ให้นายกฯ อภิสิทธิ์และคณะรัฐมนตรีลาออกทั้งคณะนั้น ถือว่าเป็นพัฒนาการของสถานการณ์ อันเนื่องจากรัฐบาลไม่ได้ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของประชาชน และเป็นผลพวงจากความล้มเหลวในการจัดการปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา โดยไม่ให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสำคัญของชาติ เพราะเท่าที่ทราบยังยืนยันได้ว่าการขับไล่รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้เป็นธงที่พันธมิตรฯ วางเอาไว้แต่ประการใด จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลปล่อยให้เวลาเนิ่นนานมากว่า 12 วัน ไม่ได้ใช้โอกาสที่ผ่านมาในการร่วมมือกับภาคประชาชนในการปกป้องแผ่นดิน ทั้งที่สามารถต่อสายหรือตั้งโต๊ะคุยทำความเข้าใจกัน แต่กลับใช้เวลาในการสร้างวิวาทะทางการเมืองมากเกินไป ทำให้สถานการณ์ช้าไปในการร่วมมือกับภาคประชาชน ซึ่งพรรคการเมืองใหม่ยังขอสนับสนุนในทุกหนทางที่จะนำไปสู่ความเข้าใจซึ่งกันและกันระหว่างรัฐบาลกับมวลชน ขอให้นายกฯ อภิสิทธิ์อย่าได้สิ้นความพยายาม ส่วนการลาออกหรือไม่นั้นถือเป็ดุลพินิจส่วนตัวที่นายกฯ อภิสิทธิ์จะตัดสินใจทางการเมืองต่อไป อย่างไรก็ตาม พรรคการเมืองใหม่ไม่เห็นด้วยที่นายกฯ อภิสิทธิ์ รัฐมนตรีหรือคนใกล้ชิดนายกฯ จะกล่าวหาว่ากลุ่มผู้ชุมนุมนำเรื่องอธิปไตยของชาติมาเป็นวาระทางการเมือง ตราบใดที่การชุมนุมเรียกร้องยังอยู่ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญยังมีสิทธิอย่างชอบธรรม
นายสำราญกล่าวด้วยว่า ในห้วงเวลา 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา พรรคการเมืองใหม่มองเห็นถึงความตื่นตัวโดยรวมของกองทัพในการปกป้องอธิปไตยของชาติ แม้ว่าจะมีข้อจำกัดจาก MOU 2543 และนโยบายทางการเมืองของรัฐบาลชุดนี้ที่ไม่เป็นเอกภาพ และเหตุการณ์การปะทะสู้รบที่ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 4-5 ก.พ.ที่ผ่านมา พรรคการเมืองใหม่ขอเป็นกำลังใจให้กับทหารที่ทำหหน้าที่ปกป้องอธิปไตยอย่างสมบูรณ์ ส่วนกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ที่ให้สัมภาษณ์ในเชิงท้าทายประชาชนไปบ้างว่าใครอยากรบให้ไปที่เขาพระวิหารและอื่นๆ ซึ่งบางคำพูดบางประโยคถือว่าเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจประชาชนที่รักบ้านเมือง ควรจะได้ใคร่ครวญระมัดระวังในการให้สัมภาษณ์ และสร้างความเป็นเอกภาพของคนในชาติ ที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ ควรยอมรับข้อเท็จจริงว่าในทางพฤตินัยขณะนี้ประเทศไทยกำลังสูญเสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม.รอบปราสาทพระวิหารแล้วจริงๆ และหากยังดำเนินนโยบายเช่นนนี้ต่อไปก็จะหมิ่นเหม่ที่จะสูญเสียดินแดนเพิ่มมากขึ้น
“จากเหตุการณ์สู้รบที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4-5 ก.พ.เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า กัมพูชาไม่ได้ยึดมั่นกฎกติกาตาม MOU 2543 แม้แต่น้อย ทั้งยังมีการโจมตีทหารและราษฎรไทยจากบริเวณ 4.6 ตร.กม.รอบปราสาทพระวิหารซึ่งละเมิด MOU 2543 ชัดเจน ในขณะที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา MOU 2543 กลายเป็นเครื่องมือที่พันธนาการมัดมือมัดเท้ากองทัพไทยไม่ให้ปฏิบัติการใดๆได้ ข้ออ้างของรัฐบาลที่บอกว่า MOU 2543 จะช่วยไม่ให้เกิดสงครามจึงฟังไม่ขึ้น รัฐบาลต้องทบทวนเรื่องนี้” นายสำราญกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงการประเมินสถานการณ์การชุมนุมที่อาจจะมีความรุนแรงเข้ามา นายสำราญ กล่าวว่า ตามที่ได้สัมผัสกับพันธมิตรฯ มา เชื่อว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวอย่างสันติอหิงสา แต่สิ่งที่รัฐบาลต้องดูแลอยู่บ้าง คือ การแทรกซ้อนของกลุ่มมือที่ 3 ที่อาจจะมีความพยายามสร้างสถานการณ์บ้าง อย่างไรก็ตาม คาดว่าการชุมนุมของพันธมิตรฯ ครั้งนี้จะยืดเยื้อ เนื่องจากตอนนี้มีโจทย์ที่หนักกว่าเดิมในการกดดันขับไล่รัฐบาล ทำให้สถานการณ์น่าเป็นห่วงมากขึ้น ส่วนการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้นอาจมีความเป็นไปได้ หากรัฐบาลต้องการยกระดับดูแลด้านความมั่นคง หรืออาจตั้งศูนย์อำนายการรักษาความสงบเรียบร้อบ (ศอรส.) ขึ้นมาดูแลเหมือนที่เคยทำมาแล้ว
