“บิ๊กตู่” เผย “ประวิตร” เตรียมเจรจา “เตีย บันห์” ถอนป้ายประณามไทยออก เชื่อ 1-2 วัน มีข่าวดี ลั่นใช่ว่าปักป้ายแล้วจะมาอ้างเป็นพื้นที่ของตน บอกสองฝ่ายมีความเข้าใจระหว่างกัน ยันทหารไม่ได้นิ่งนอนใจ เร่งดำเนินการเต็มที่ วอนขอให้เป็นไปตามกลไก อย่าใช้ความรู้สึกจะทำงานลำบาก มั่นใจความสัมพันธ์อันดีกว่า 10 ปี จะทำให้ปัญหาจบโดยสันติ
วันนี้ (24 ม.ค.) ที่กองพลทหารปืนใหญ่ จ.ลพบุรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการดำเนินการให้ประเทศกัมพูชาถอนป้ายประณาม ว่า ไทยรุกล้ำเขตแดนที่ตั้งอยู่บนวัดแก้วสิกขาคีรีสวารา ว่า เรื่องนี้กำลังดำเนินการอยู่ ผู้สื่อข่าวถามว่า จำเป็นต้องมีการพูดคุยกับสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรี ของกัมพูชา หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่เป็นไร ตนกำลังดำเนินการอยู่ ต่อข้อถามว่า จะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่เป็นไร ใจเย็นๆ ทุกอย่างแก้ไขได้ และเราก็แก้ไขกันมาโดยตลอด เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีต้องการให้ทหารชี้แจง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ใช่ ทาง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ดูแลอยู่ ไม่เป็นไร
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทหารทั้ง 2 ฝ่าย ต่างก็มีความกดดันด้วยกันทั้งคู่ ตนจะไม่พูดว่าต้องทำอะไร อย่างไรกับใคร แต่ขณะนี้ทางกองทัพบกได้เรียนให้ รัฐมนตรีกลาโหมทราบแล้ว และทั้ง 2 ฝ่ายต้องเจรจากัน ซึ่งการเจรจาไม่ใช่การขอร้อง เพียงแต่ขอให้เห็นแก่ความสัมพันธไมตรีที่มีต่อกัน ซึ่งแนวโน้มไปในทางที่ดีขอให้ใจเย็นๆ และก็รอ
เมื่อถามว่า การพูดคุยในระดับรัฐมนตรีกลาโหมของทั้ง 2 ประเทศ น่าจะจบลง ไม่จำเป็นที่จะต้องมีการพูดคุยระหว่าง ผบ.ทบ.ของทั้ง 2 ฝ่ายใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เราต้องพูดกันหมด แต่อย่าไปหาว่าใครปักก่อนปักหลังเอาเป็นว่าทำอย่างไรไม่ให้มีการปักก็แล้วกัน และสิ่งที่จะต้องอยู่ให้ได้ในวันนี้ คือ ทำอย่างไรไม่ให้มีการทะเลาะกัน และจะไม่ทำให้ประชาชนทั้ง 2 ฝ่ายเดือดร้อน เพราะเรามีการค้าขายกันไปมา เพราะฉะนั้นการที่เราจะไปพิสูจน์ทราบอะไรต่างๆ ก็ขอให้เป็นเรื่องกลไกทางกฎหมายที่มีอยู่เดิม ถ้าเราไม่ใช้กลไกทางกฎหมาย ใช้ความรู้สึกกันเองก็จะลำบาก อย่างที่รัฐบาลได้ชี้แจงไปว่าต้องมีกติกากฎเกณฑ์ และที่ผ่านมานั้น ตนยังไม่ได้บอกว่าอะไรถูกหรืออะไรผิด และไม่ได้ไปยืนยันว่ามันอยู่ตรงไหนแต่มีหลักเกณฑ์กันอยู่ ว่าทหารจะดูแลกันอย่างไร ซึ่งที่ผ่านมาเรามีกติกา เส้นสมมติ ข้อตกลงสัญญาที่ทำกันไว้ เพราะฉะนั้นถ้าจะมีการยกเลิกข้อตกลงเหล่านี้ก็เป็นเรื่องของรัฐบาล ที่จะต้องมาพิสูจน์ทราบกันอีกทีว่าจะมีวิธีอื่นอีกหรือไม่ที่จะทำได้ดีกว่านี้ แต่คิดว่าคงจะมี เพราะเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องของคนปัจจุบันที่ต้องมานั่งดูแลกัน ซึ่งเราก็มีการไปมาหาสู่กันโดยตลอดในทุกพื้นที่แต่อยากขอเรียนว่าทางทหารก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ กองทัพบกพยายามอย่างเต็มที่อย่ากังวลว่าเราจะอะไร อย่างไรมันน่าจะไปไม่ถึงกันสู้รบกัน เพราะเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาหลาย 10 ปีแล้ว และคนแถวนั้นก็เป็นคนที่มีพื้นเพเดียวกัน ตนคิดว่าสิ่งสำคัญทำอย่างไรให้อยู่ด้วยกันอย่างสันติ
ต่อข้อถามว่า ท่านเคยระบุว่า ปัญหาไทย-กัมพูชา จะไม่จบ และจะต้องมีปัญหาใหม่ขึ้นมาอีก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า กองทัพต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกรอบของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดนี้หรือชุดไหนในอดีตเขามีการพัฒนามาตามลำดับ ให้ไปทบทวนดูว่ามีกี่รัฐบาล และการที่รัฐบาลดำเนินการแก้ปัญหามาโดยตามลำดับนั้น ท้ายสุดแล้วก็มาอยู่ที่ MOU ปี 43 ทหารก็ต้องทำตามกรอบของการพัฒนา ไม่ใช่ว่าทหารจะไปทำอะไรใครก็ได้ ตรงไหนที่มีความชัดเจนของเส้นเขตแดน ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าตรงไหนที่ปัญหาในเส้นเขตแดน ต้องระบุว่ามีตรงบ้าง และจะมีสัญญาในการดูแลกันว่าถ้าจับได้ตรงนี้ ต้องปล่อยตัว ถ้าเลยตรงนี้ไม่ได้ แต่ถ้าตรงไหนที่ไม่มีการปักปันแต่มาถือว่าปักปันไปแล้ว อันนี้ที่เป็นสาเหตุให้ทหารมีการปะทะกันมาตลอด ถือเป็นเครื่องหมายให้คนยิงกันถ้าไม่วางอาวุธ จึงอยากให้เข้าใจตรงนี้
เมื่อถามว่า การเจราจาดำเนินการให้กัมพูชาถอนป้ายมีความคืบหน้ามากน้อยเพียงใด พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เขารับเรื่องไปแล้ว เขาบอกว่ากำลังพูดคุยกันอยู่และจะทำให้เราที่สุด ซึ่งอาจจะมีข่าวดี 1-2 วันนี้ และไม่ต้องมาถามตนบ่อยพูดกันแล้ว รับหลักการแล้วอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด และถ้าไม่เอาป้ายออกจะเกิดอะไรขึ้นนั้นก็ต้องว่ากันต่อไป และรัฐบาลจะต้องมีมาตรการอื่นๆ ตามมา
“ซึ่งเรื่องทั้งหมด ไม่ใช่เพราะไอ้ป้ายอันเดียวตัวนี้และป้ายอันนี้ก็ไม่ใช่ตัวพิสูจน์ ว่าถ้าคุณปักป้ายแล้วเป็นเขตของคุณ ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณจะรับได้หรือไม่ มันก็ไม่ได้ แล้วถ้าผมไปปักป้ายตรงไหน นี่ก็เป็นเขตของผมซิ เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องของความเข้าใจซึ่งกันและกัน มันอาจจะเป็นการสร้างความกดดันเพราะฉะนั้นเราอย่าไปตื่นเต้นกับมันมากนัก ซึ่งทุกพื้นที่ตามแนวชายแดน เรามีกติกาทั้งสิ้น คณะกรรมธิการเขตแดนร่วม ไทย-กัมพูชา (JBC) ถ้าตกลงกันไม่ได้ มันก็ไม่เป็นของใครทั้งสิ้น” ผบ.ทบ.กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ดังนั้น จึงขอให้ระมัดระวังในเรื่องของการสัญจรไปมา ซึ่งประชาชนทั้ง 2 ฝ่ายก็ไปมาหาสู่กัน แต่ถ้าเกินตรงนี้ไป เราก็จับไม่ใช่ว่าเราจะปล่อยให้ใครไปมาก็ได้ ทุกประเทศต้องมีการเคารพซึ่งกันและกัน ถ้าล้ำเส้นตรงไหนก็จับและไปเจรจากันว่าล้ำหรือไม่ล้ำ และที่ผ่านมาก็ทำกันแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเขาจับเราฝ่ายเดียว เราก็จับเขาทุกวัน ซึ่งส่วนใหญ่จะล้ำเข้ามาในพื้นที่ตลาดโรงเกลือ คลองลึก จับทุกวัน และดำเนินคดีตามกฎหมายเหมือนกัน และที่ปล่อยไปนั้นเป็นเพราะศาลตัดสินเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในประเทศไทยคดีแบบนี้ศาลจะตัดสินเร็ว ซึ่งเป็นคดีที่มีผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายจำนวนมาก และไม่สามารถเอาคนเหล่านี้ไปติดคุกไว้นานๆ ได้ นั่นคือข้อเท็จจริงของเรา แต่ทั้งหมดนั้นดำเนินการโดยกระบวนการยุติธรรมทั้งสิ้น ซึ่งก็มีผิดติดคุกและเสียค่าปรับมาโดยตลอด ไม่ใช่ว่าเขาจับเราแต่เราไม่จับเขามันจับด้วยกันทั้งคู่ และเราก็จับเขามากกว่า เพราะคนของเขาเข้ามามากกว่า เพราะฉะนั้นต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน
“ไม่ใช่ว่าผมไม่รักประเทศ ถ้าผมไม่รัก จะเป็นอย่างไร ทหารไม่รักประเทศชาติ จะเป็นทหารได้อย่างไร ผมอยากจะรู้นัก ใครอยากจะพูดอะไรต่างๆ ก็ตาม ให้กลับไปคิดและทบทวนดูซิ ว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด ไอ้ที่ทหารไม่พูดเพราะพูดไปแล้วจะทำให้เกิดความเพลี่ยงพล้ำ ในการเจรจาพูดคุย มีอะไรต้องมาพูดกันหมดเลยหรือ ซึ่งมันไม่ใช่ รมว.กห.ก็ทำเต็มที่ กองทัพก็ทำเต็มที่ แล้วท่านมาบอกว่ากองทัพบกกลัวใคร ทำไมไม่ทำ มีผลประโยชน์อะไรหรือเปล่า ท่านเอาอะไรมากล่าวอ้างผมไม่รู้ กองทัพไม่เคยกลัวใคร ซึ่งผมไม่อยากจะพูดคำนี้ แต่ผมเป็น ผบ.ทบ.ทหารบก ทั้งกองทัพ มีจำนวน 2 แสนกว่าคนเขาก็ดูอยู่ ว่าผมปกป้องศักดิ์ศรีของเขาหรือเปล่า ผมก็ต้องปกป้องเขา เพราะผมรู้ว่าลูกน้องผม เขาไม่ได้ทำอย่างนั้น เขาสูญเสียอะไรต่างๆ มามากมาย ลูกเมียเดือดร้อน ผมพูดไปก็จะหาว่ากองทัพบกทวงบุญคุณอีก และผมจะพูดอะไรได้ ผมต้องปล่อยให้ด่าอยู่ข้างเดียวหรือไง กองทัพถูกด่าข้างเดียวไม่ถูก ผมว่าไม่เป็นธรรม ท่านต้องช่วยกองทัพ วันนี้ถ้าท่านไม่มีกองทัพ ไม่มีเจ้าหน้าที่ ไม่มีทหาร ไม่มีคนทำงาน และท่านจะอยู่อย่างไร ท่านไปถามตัวของท่านเองก็แล้วกัน” ผบ.ทบ.กล่าว