โฆษกพันธมิตรฯ ชม กต.เริ่มแจงญวน-จีน ชี้เขมรเดินแผนบันได 6 ขั้น ใช้เอ็มโอยูมัดกองทัพ ยึดครองพื้นที่ ขึ้นมรดกโลกให้ต่างชาติจุ้น สร้างเหตุปะทะสู่เวทีโลก ดึงชาติอื่นสังเกตการณ์ ปูทาง “ฮุน มาเนต” สืบอำนาจ แนะรีบไล่ข้าศึกพ้นแดนก่อนซ้ำรอยพระวิหาร ประณามเขมรใช้ผู้หญิง,-เด็กเป็นโล่ “เทพมนตรี” แฉกัมพูชาต้องยึดตาเมือนธมใช้อ้างดันมรดกโลกปราสาทเกาะแก จี้ “สุวิทย์” ถอนตัวภาคี
วันนี้ (27 เม.ย.) ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงเหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า การที่ขณะนี้รัฐบาลไทยเริ่มมีการไปพูดคุยทำความเข้าใจกับต่างประเทศ ทั้งประเทศจีน และเวียดนาม ถือเป็นยุทธวิธีทางการทูตที่ดี แต่รัฐบาลก็ยังต้องมีความเข้าใจในแผนบันได 6 ขั้นของทางกัมพูชาที่กำลังเดินเกมการเมืองระหว่างประเทศ ภายหลังจากที่มีเอ็มโอยู 2543 ดังนี้
ขั้นที่ 1 หลังการลงนามเอ็มโอยู 2543 ซึ่งถือเป็นการมัดแสนยานุภาพทางการทหารของไทย แล้วทำให้กัมพูชาสามารถสร้างถนน และกระเช้าขึ้นมาสู่ยอดเขาในฝั่งไทย เพื่อขนอาวุธยุทโธปกรณ์มายึดจุดสูงข่ม ทำให้เกิดการปะทะและทำร้ายราษฎรไทยได้ ทั้งที่ปราสาทเขาพระวิหาร ภูมะเขือ ปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือนธม
ขั้นที่ 2 คือ การรุกคืบเข้ามายึดครอง และสำแดงอำนาจอธิปไตยเหนือแผ่นดินไทย โดยการสร้างสิ่งปลูกสร้าง วัด และชุมชน รวมทั้งการใช้กองกำลังติดอาวุธจับกุมคนไทยในแผ่นดินไปขึ้นศาลกัมพูชา ซึ่งทั้ง 2 ขั้นนี้รัฐบาลทำได้เพียงการประท้วงโดยเอกสารไป 125 ครั้ง โดยไม่ได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
นายปานเทพกล่าวต่อว่า ขั้นที่ 3 คือ การเดินหน้านำโบราณสถานต่างๆไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก เพื่อนำนานาชาติในนามคณะกรรมการมรดกโลกมารับรองการยึดครองแผ่นดินไทย โดยทำสำเร็จไปแล้วที่ปราสาทพระวิหาร ซึ่งอยู่ระหว่างการขยายผลนำพื้นที่โดยรอบมาผนวกในแผนบริหารจัดการ จนมาถึงปราสาทตาเมือนธม ซึ่งส่งผลให้มีการปะทะอยู่ในตอนนี้ ขั้นที่ 4 คือเมื่อไทยเริ่มคัดค้านกระบวนการมรดกโลก กัมพูชาก็จะสร้างสถานการณ์ให้เกิดการปะทะอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มไปแล้วที่ปราสาทพระวิหาร เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา เพื่อทำให้เรื่องทั้งหมดไปสู่เวทีนานาชาติ โดยต้องการให้มีประเทศคนกลางเข้ามาดูข้อผิดพลาดเพลี่ยงพล้ำในเอ็มโอยู 2543
โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวว่า หากทำขั้นที่ 4 สำเร็จ ก็จะเริ่มขั้นที่ 5 ในการเรียกร้องให้มีผู้สังเกตการณ์เข้ามาในพื้นที่เกิดการปะทะ เพื่อเป็นหลักประกันให้กัมพูชาไม่ต้องถอยออกมาจากแผ่นดินที่ยึดครองไทยอยู่ และเมื่อเกิดการหยุดยิงถาวร กัมพูชาก็สามารถยึดครองแผ่นดินไทยต่อไปโดยไม่มีกำหนด โดยที่ฝ่ายไทยไม่สามารถใช้กำลังทหารในการผลักดันออกไปได้ ก่อนที่จะนำไปสู่ขั้นที่ 6 ในการนำกรณีนี้ไปใช้หาเสียงให้กับตัวนายฮุนเซนเอง และปูฐานให้ พล.ท.ฮุน มาเนต บุตรชาย ในฐานะวีรบุรุษที่ยึดครองแผ่นดินไทยได้ เพื่อการสืบทอดอำนาจต่อไป
“ขณะนี้กัมพูชาได้เดินเกมมาถึงขั้นตอนที่ 4 แล้ว คือ การยิงปะทะอย่างต่อเนื่อง และยึดครองปราสาทตาควายและปราสาทตาเมือนธมให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะมีผู้สังเกตการณ์เข้ามาให้มีการหยุดยิงอย่างถาวร ซึ่งหากรัฐบาลไทยไปเร่งเจรจาก่อนตามแนวทางของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ก็จะเสียรู้ให้กับทางกัมพูชา ยังดีที่ถอนตัวออกมาได้ก่อน หลังจากสื่อของกัมพูชาออกข่าวว่าฝ่ายไทยยอมรับความพ่ายแพ้และมาขอเจรจา” นายปานเทพ กล่าว
นายปานเทพกล่าวอีกว่า ในความเป็นจริงรัฐบาลไม่ควรไปเจรจาในตอนนี้ เพราะกัมพูชาจะใช้สิทธิในการร้องต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ให้เกิดการหยุดยิงถาวร เมื่อไรที่มีการหยุดยิงถาวร จะทำให้เราเสียดินแดนในพื้นที่ที่กัมพูชายึดครองไปแล้วอย่างไม่มีกำหนดระยะเวลา จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยผลักดันกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทยให้หมดเสียก่อน จึงให้มีการเจรจาเกิดขึ้น ซึ่งจังหวะนี้เป็นโอกาสที่สั้นที่สุดที่หากฝ่ายใดจะช่วงชิงเกมการเมืองระหว่างประเทศ ก็จะเป็นผู้ได้รับชัยชนะในทันที หากไทยยังเพลี่ยงพล้ำไปอีก ก็จะซ้ำรอยเหมือนกรณีที่ปราสาทพระวิหาร และวัดแก้วสิกขาคีรีศวร
นายปานเทพกล่าวว่า มาตรการตอบโต้ของกองทัพ หากถูกโจมตีจากกัมพูชานั้น ไม่เป็นหนทางคลี่คลายปัญหาได้เลย เพราะจะเป็นการเพิ่มสถานการณ์ให้กัมพูชาอ้างความชอบธรรมให้นานาชาตินำผู้สังเกตการณ์เข้ามา ซึ่งหนทางแก้ปัญหาที่แท้จริงคือ การผลักดันกัมพูชาออกไปก่อนโดยเร็ว แล้วจึงให้นานาชาติเข้ามา ตนเขื่อว่าเมื่อถึงตอนนั้นกัมพูชาก็ไม่ต้องให้มีผู้สังเกตการณ์ เข้ามาอีก ทั้งนี้ตนยังขอประณามการที่กัมพูชาใช้เด็กและผู้หญิงเป็นโล่มนุษย์ในบริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีศวร เพราะต้องการถอนกำลังทหารมาช่วยที่ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งถือเป็นการกระทำที่อำมหิตโหดเหี้ยม ไร้ซึ่งความมนุษยธรรม
ขณะที่ นายเทพมนตรี ลิมปพยอม คณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบทราบว่ากัมพูชาได้เสนอการขึ้นทะเบียนมรดกโลกแห่งที่ 3 ในชื่อปราสาทเกาะแก ที่ตั้งอยู่ระหว่างนครวัด-นครธม กับปราสาทพระวิหาร ต่อคณะกรรมการมรดกโลก ซึ่งเอกสารที่ใช้ในการขึ้นทะเบียนปราสาทเกาะแก และอาณาบริเวณโดยรอบนั้น มีแผนที่ฉบับหนึ่งซึ่งจัดพิมพ์ที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งระบุว่าปราสาทตาเมือนธมอยู่ในดินแดนกัมพูชา ดังนั้นเพื่อให้แผนของกัมพูชาลุล่วงไปด้วยดีก็ต้องยึดปราสาทตาเมือนธมให้ได้โดยเร็ว เนื่องจากการขึ้นทะเบียนดังกล่าวได้รับการบรรจุในวาระการประชุมของคณะกรรมการมรดกโลกในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยรายละเอียดสามารถตรวจสอบได้ในเว็บไซต์ของรัฐบาลกัมพูชา
“หากเรายังยึดถือเอ็มโอยู 2543 ไว้ จะมีอันตรายร้ายแรงกับประเทศไทย เพราะจะถูกกัมพูชาอ้างสิทธิ์ในการยึดครองแผ่นดินไทยตลอดแนวชายแดน โดยเฉพาะกรณีปราสาทตาควาบยและตาเมือนธมในตอนนี้ ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลต้องหันกลับมาทบทวนเอ็มโอยู 2543 ที่มีข้อผิดพลาดอย่างชัดเจน” นายเทพมนตรีกล่าว
นายเทพมนตรีกล่าวอีกว่า ปราสาทตาควายและปราสาทตาเมือนธมนั้นมีข้อมูลระบุชัดเจนว่า อยูในความดูแลของไทย ก่อนที่จะมีเอ็มโอยู 2543 แต่เมื่อมีการลงนามแล้วกัมพูชาก็เริ่มรุกคืบเข้ามายึด โดยอ้างถึงแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน แสดงให้เห็นว่าเอ็มโอยู 2543 นั้นทำให้กัมพูชาใช้อ้างสิทธิ์ในการยึดครองปราสาททั้ง 2 แห่ง โดยเฉพาะในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ไทย-กัมพูชา ที่คณะกรรมการเทคนิคร่วมฝ่ายกัมพูชาประท้วงกับฝ่ายไทยให้มีการปักหลักเขตดินแดนใหม่ในบริเวณนั้น ซึ่งรุกพื้นที่ของไทยเข้ามา 1 กม. และพยายามรุกรานเรามาอย่างต่อเนื่อง
นายเทพมนตรียังได้กล่าวถึงกรณีที่นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้เจรจามรดกโลกฝ่ายไทย เตรียมเดินทางไปร่วมประชุมกับกัมพูชาที่ประเทศฝรั่งเศส ในวันที่ 25 พ.ค.นี้ว่า มีแนวโน้มว่านายสุวิทย์จะไปดูว่ากัมพูชาเสนออะไรกับยูเนสโก โดยทางยูเนสโกได้เตรียมการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการมรดกโลกปราสาทพระวิหาร ซึ่งมีทั้ง 7 ชาติ และไทยเป็น 1 ในนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยปฏิเสธมาโดยตลอด ดังนั้จึงขอให้นายสุวิทย์ ตัดสินใจถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลก ก่อนที่จะมีการประชุมขึ้น และตนยังทราบมาอีกว่า ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่ประเทศบราซิล เมื่อปีก่อนนั้น นายสุวิทย์ได้รับเอกสารที่รับมาจากกัมพูชาจำนวน 3 ฉบับว่าด้วยเรื่องแผนบริหารจัดการมรดกโลก