พันธมิตรฯปูดแผนบันได 6 ขั้น"ฮุนเซน" ฮุบแผ่นดินไทย "ปานเทพ" แนะไล่เขมรพ้นดินแดนไทยก่อนเจรจา หวั่นซ้ำรอยพระวิหาร เชื่อ "ฮุนเซน"หวังผลใช้หาเสียงในประเทศ พร้อมดันลูกชายสืบทอดอำนาจ "เทพมนตรี" ย้ำปราสาทตาควาย -ตาเมือนธม เป็นของไทย จี้รัฐเลิกเอ็มโอยู 43 แนะ"สุวิทย์" ไขก๊อกก่อนประชุมมรดกโลก เชื่อคนใน รบ.ฮั้ว “ฮุนเซน” จี้สำนึกกองทัพเร่งยึดอธิปไตยคืน
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงเหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาว่า การที่รัฐบาลไทยเริ่มมีการไปพูดคุยทำความเข้าใจกับต่างประเทศ ทั้ง จีน และ เวียดนาม ถือเป็นยุทธวิธีทางการทูตที่ดี แต่รัฐบาลก็ยังต้องมีความเข้าใจในแผนบันได 6 ขั้นของทางกัมพูชา ที่กำลังเดินเกมการเมืองระหว่างประเทศ ภายหลังจากที่มีเอ็มโอยู 2543 ดังนี้
ขั้นที่ 1 หลังการลงนามเอ็มโอยู 2543 ซึ่งถือเป็นการมัดแสนยานุภาพทางการทหารของไทย แล้วทำให้กัมพูชาสามารถสร้างถนน และกระเช้าขึ้นมาสู่ยอดเขาในฝั่งไทย เพื่อขนอาวุธยุทโธปกรณ์มายึดจุดสูงข่ม ทำให้เกิดการปะทะ และทำร้ายราษฎรไทยได้ ทั้งที่ปราสาทเขาพระวิหาร ภูมะเขือ ปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือนธม
ขั้นที่ 2 คือการรุกคืบเข้ามายึดครอง และสำแดงอำนาจอธิปไตยเหนือแผ่นดินไทย โดยการสร้างสิ่งปลูกสร้าง วัด และชุมชน รวมทั้งการใช้กองกำลังติดอาวุธ จับกุมคนไทยในแผ่นดินไทยไปขึ้นศาลกัมพูชา ซึ่งทั้ง 2 ขั้นนี้ รัฐบาลทำได้เพียงการประท้วงโดยส่งเอกสารไป 125 ครั้ง ซึ่งไม่ได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
ขั้นที่ 3 คือการเดินหน้านำโบราณสถานต่างๆ ไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก เพื่อนำนานาชาติในนามคณะกรรมการมรดกโลก มารับรองการยึดครองแผ่นดินไทย โดยทำสำเร็จไปแล้วที่ปราสาทพระวิหาร ซึ่งอยู่ระหว่างการขยายผล นำพื้นที่โดยรอบมาผนวกในแผนบริหารจัดการ จนมาถึงปราสาทตาเมือนธม ซึ่งส่งผลให้มีการปะทะอยู่ในตอนนี้
ขั้นที่ 4 คือ เมื่อไทยเริ่มคัดค้านกระบวนการมรดกโลก กัมพูชาก็จะสร้างสถานการณ์ให้เกิดการปะทะอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มไปแล้วที่ปราสาทพระวิหาร เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา เพื่อทำให้เรื่องทั้งหมดไปสู่เวทีนานาชาติ โดยต้องการให้มีประเทศคนกลางเข้ามาดูข้อผิดพลาดเพลี่ยงพล้ำในเอ็มโอยู 2543
ทั้งนี้ หากทำขั้นที่ 4 สำเร็จ ก็จะเริ่มขั้นที่ 5 ในการเรียกร้องให้มีผู้สังเกตการณ์เข้ามาในพื้นที่เกิดการปะทะ เพื่อเป็นหลักประกันให้กัมพูชาไม่ต้องถอยออกมาจากแผ่นดินที่ยึดครองไทยอยู่ และเมื่อเกิดการหยุดยิงถาวร กัมพูชาก็สามารถยึดครองแผ่นดินไทยต่อไปโดยไม่มีกำหนด โดยที่ฝ่ายไทยไม่สามารถใช้กำลังทหารในการผลักดันออกไปได้ ก่อนที่จะนำไปสู่ ขั้นที่ 6 นำกรณีนี้ไปใช้หาเสียงให้กับตัวนายฮุนเซนเอง และปูฐานให้ พล.ท.ฮุน มาเนต บุตรชาย ในฐานะวีรบุรุษ ที่ยึดครองแผ่นดินไทยได้ เพื่อการสืบทอดอำนาจต่อไป
"ขณะนี้กัมพูชาได้เดินเกมมาถึงขั้นตอนที่ 4 แล้ว คือ การยิงปะทะอย่างต่อเนื่อง และยึดครองปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือนธม ให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะมีผู้สังเกตการณ์เข้ามาให้มีการหยุดยิงอย่างถาวร ซึ่งหากรัฐบาลไทยไปเร่งเจรจาก่อนตามแนวทางของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ก็จะเสียรู้ให้กับทางกัมพูชา ยังดีที่ถอนตัวออกมาได้ก่อน หลังจากสื่อของกัมพูชาออกข่าวว่าฝ่ายไทยยอมรับความพ่ายแพ้และมาขอเจรจา” นายปานเทพ กล่าว
นายปานเทพ กล่าวว่า รัฐบาลไม่ควรไปเจรจาในตอนนี้ เพราะกัมพูชาจะใช้สิทธิในการร้องต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( ยูเอ็นเอสซี ) ให้เกิดการหยุดยิงถาวร เมื่อไรที่มีการหยุดยิงถาวร จะทำให้เราเสียดินแดนในพื้นที่ที่กัมพูชายึดครองไปแล้วอย่างไม่มีกำหนดระยะเวลา จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทย ผลักดันกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทยให้หมดเสียก่อน จึงเจรจากัน ซึ่งจังหวะนี้เป็นโอกาสที่สั้นที่สุดที่หากฝ่ายใดจะช่วงชิงเกมการเมืองระหว่างประเทศ ก็จะเป็นผู้ได้รับชัยชนะ หากไทยยังเพลี่ยงพล้ำอีก ก็จะซ้ำรอยเหมือนกรณีที่ปราสาทพระวิหาร และวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ
นายปานเทพ กล่าวว่ามาตรการตอบโต้ของกองทัพ เมื่อถูกโจมตีจากกัมพูชานั้น ไม่เป็นหนทางคลี่คลายปัญหาได้เลย เพราะจะเป็นการเพิ่มสถานการณ์ให้กัมพูชาอ้างความชอบธรรมให้นานาชาตินำผู้สังเกตการณ์เข้ามา ซึ่งหนทางแก้ปัญหาที่ควรทำคือ การผลักดันกัมพูชาออกไปก่อนโดยเร็ว แล้วจึงให้นานาชาติ เข้ามา ตนเขื่อว่าเมื่อถึงตอนนั้นกัมพูชาก็ไม่ต้องการให้มีผู้สังเกตการณ์ เข้ามาอีก
ทั้งนี้ ตนขอประณามการที่กัมพูชา ใช้เด็กและผู้หญิง เป็นโล่มนุษย์ในบริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ เพราะต้องการถอนกำลังทหารมาช่วยที่ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งถือเป็นการกระทำที่อำมหิตโหดเหี้ยม ไร้ซึ่งความมนุษยธรรม
ขณะที่ นายเทพมนตรี ลิมปพยอม คณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย กล่าวว่า จากการตรวจสอบทราบว่า กัมพูชาได้เสนอการขึ้นทะเบียนมรดกโลกแห่งที่ 3 ในชื่อปราสาทเกาะแก ที่ตั้งอยู่ระหว่างนครวัด-นครธม กับปราสาทพระวิหาร ต่อคณะกรรมการมรดกโลก ซึ่งเอกสารที่ใช้ในการขึ้นทะเบียนปราสาทเกาะแก และอาณาบริเวณโดยรอบนั้น มีแผนที่ฉบับหนึ่งซึ่งจัดพิมพ์ที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งระบุว่าปราสาทตาเมือนธมอยู่ในดินแดนกัมพูชา ดังนั้นเพื่อให้แผนของกัมพูชาลุล่วงไปด้วยดีก็ต้องยึดปราสาทตาเมือนธมให้ได้โดยเร็ว เนื่องจากการขึ้นทะเบียนดังกล่าวได้รับการบรรจุในวาระการประชุมของคณะกรรมการมรดกโลกในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยรายละเอียดสามารถตรวจสอบได้ในเวบไซต์ของรัฐบาลกัมพูชา
"หากเรายังยึดถือเอ็มโอยู 2543 ไว้ จะมีอันตรายร้ายแรงกับประเทศไทย เพราะจะถูกกัมพูชาอ้างสิทธิ์ในการยึดครองแผ่นดินไทยตลอดแนวชายแดน โดยเฉพาะกรณีปราสาทตาควาย และตาเมือนธมในตอนนี้ ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลต้องหันกลับมาทบทวน เอ็มโอยู 2543 ที่มีข้อผิดพลาดอย่างชัดเจน"
นายเทพมนตรี กล่าวว่า ปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือนธมนั้น มีข้อมูลระบุชัดเจนว่า อยู่ในความดูแลของไทย ก่อนที่จะมีเอ็มโอยู 2543 แต่เมื่อมีการลงนามแล้วกัมพูชาก็เริ่มรุกคืบเข้ามายึด โดยอ้างถึงแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน แสดงให้เห็นว่าเอ็มโอยู 2543 นั้นทำให้กัมพูชาใช้อ้างสิทธิ์ในการยึดครองปราสาททั้ง 2 แห่ง โดยเฉพาะในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ไทย-กัมพูชา ที่คณะกรรมการเทคนิคร่วมฝ่ายกัมพูชาประท้วงกับฝ่ายไทยให้มีการปักหลักเขตดินแดนใหม่ในบริเวณนั้น ซึ่งรุกพื้นที่ของไทยเข้ามา 1 กม. และพยายามรุกรานเรามาอย่างต่อเนื่อง
นายเทพมนตรี กล่าวถึงกรณี นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้เจรจามรดกโลกฝ่ายไทย เตรียมเดินทางไปร่วมประชุมกับกัมพูชา ที่ประเทศฝรั่งเศส ในวันที่ 25 พ.ค.นี้ว่า มีแนวโน้มว่านายสุวิทย์ จะไปดูว่ากัมพูชาเสนออะไรกับยูเนสโก โดยทางยูเนสโก ได้เตรียมการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการมรดกโลกปราสาทพระวิหาร ซึ่งมีทั้ง 7 ชาติ และไทยเป็น 1 ในนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยปฏิเสธมาโดยตลอด
ดังนั้น จึงขอให้นายสุวิทย์ ตัดสินใจถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลก ก่อนที่จะมีการประชุมขึ้น และตนยังทราบมาอีกว่า ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่ประเทศบราซิล เมื่อปีก่อนนั้น นายสุวิทย์ได้รับเอกสารที่รับมาจากกัมพูชาจำนวน 3 ฉบับว่าด้วยเรื่องแผนบริหารจัดการมรดกโลก
นายเทพมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลจะปฏิเสธไม่ได้ว่าไทยได้สูญเสียอธิปไตยบริเวณโดยรอบประสาทพระวิหาร ที่อยู่ในแผนบริหารจัดการถูกกัมพูชาครอบครองไปแล้วประมาณร้อยละ 60 รัฐบาลได้เพลี่ยงพล้ำในด้านการต่างประเทศ ที่ได้ไปรองรับแผนบริหารจัดการตั้งแต่ปี 51 เหลือเพียงการรับรองโดยที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก วันนี้รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ ตามเกมนายฮุนเซนไม่ทัน ใช้แผนบันได 6 ขั้น เพื่อดึงเกมนี้เข้าสู่การเมืองระหว่างประเทศ โดยใช้กำลังกองทัพเปิดทางเพื่อนำการบครั้งไปสู่ภาวะสงคราม เพื่อดึงประเทศที่สามเข้ามาจัดการยึดพื้นที่ทั้งหมด
“ยุทธวิธีในการรบ ที่รัฐบาลตอบโต้โดยการยิงตอบโต้ไปตามสมควร ถือว่าไม่สมศักดิ์ศรีของไทย เพราะเราต้องขับไล่เขมรไปให้พ้นจากแผ่นดินไทย เสียก่อนแล้วค่อยมาเจรจา ไม่เช่นนั้นอย่างที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ เมื่อเขมรรุกคืบขยายแนวรบไปยังปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย จนบัดนี้เราไม่สามารถเข้าไปเดินในพื้นที่อธิปไตยของเราได้แล้ว กองทัพจงได้รู้ว่านักการเมือง นั่งเสวยสุขอยู่บนซากศพของทหารระดับปฏิบัติ แต่พวกผู้บัญชาการเหล่าทัพจะยอมรอฟังคำสั่งรัฐฐาลที่ขายชาติอีกหรือ ถือว่าละเลยต่อการทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยทั้งสิ้น” นายเทพมนตรี กล่าว
นายเทพมนตรี กล่าวว่า กองทัพอย่ามาอ้างว่าทหารไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง แต่วันนี้ต้องบอกนักการเมืองอย่ามายุ่งเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของกองทัพ พร้อมมั่นใจว่า มีนักการเมืองบางคนในรัฐบาลชุดนี้ รับผลประโยชน์จากฮุนเซน โดยจงใจทำให้ไทยต้องสูญเสียอธิปไตยไทย ซึ่งหากรัฐบาลชุดนี้จะปฏิเสธว่าไม่ใช่ แล้วทำไมไม่กล้าดำเนินการตาม 3 ข้อเรียกร้องของ คกก.ปกป้องราชอาณาจักรไทย ว่าด้วย ขับไล่เขมรให้พ้นจากดินแดนไทย ถอนตัวจากการเป็นคณะกรรมการมรดกโลกและยกเลิกเอ็มโอยู 43
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงเหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาว่า การที่รัฐบาลไทยเริ่มมีการไปพูดคุยทำความเข้าใจกับต่างประเทศ ทั้ง จีน และ เวียดนาม ถือเป็นยุทธวิธีทางการทูตที่ดี แต่รัฐบาลก็ยังต้องมีความเข้าใจในแผนบันได 6 ขั้นของทางกัมพูชา ที่กำลังเดินเกมการเมืองระหว่างประเทศ ภายหลังจากที่มีเอ็มโอยู 2543 ดังนี้
ขั้นที่ 1 หลังการลงนามเอ็มโอยู 2543 ซึ่งถือเป็นการมัดแสนยานุภาพทางการทหารของไทย แล้วทำให้กัมพูชาสามารถสร้างถนน และกระเช้าขึ้นมาสู่ยอดเขาในฝั่งไทย เพื่อขนอาวุธยุทโธปกรณ์มายึดจุดสูงข่ม ทำให้เกิดการปะทะ และทำร้ายราษฎรไทยได้ ทั้งที่ปราสาทเขาพระวิหาร ภูมะเขือ ปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือนธม
ขั้นที่ 2 คือการรุกคืบเข้ามายึดครอง และสำแดงอำนาจอธิปไตยเหนือแผ่นดินไทย โดยการสร้างสิ่งปลูกสร้าง วัด และชุมชน รวมทั้งการใช้กองกำลังติดอาวุธ จับกุมคนไทยในแผ่นดินไทยไปขึ้นศาลกัมพูชา ซึ่งทั้ง 2 ขั้นนี้ รัฐบาลทำได้เพียงการประท้วงโดยส่งเอกสารไป 125 ครั้ง ซึ่งไม่ได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
ขั้นที่ 3 คือการเดินหน้านำโบราณสถานต่างๆ ไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก เพื่อนำนานาชาติในนามคณะกรรมการมรดกโลก มารับรองการยึดครองแผ่นดินไทย โดยทำสำเร็จไปแล้วที่ปราสาทพระวิหาร ซึ่งอยู่ระหว่างการขยายผล นำพื้นที่โดยรอบมาผนวกในแผนบริหารจัดการ จนมาถึงปราสาทตาเมือนธม ซึ่งส่งผลให้มีการปะทะอยู่ในตอนนี้
ขั้นที่ 4 คือ เมื่อไทยเริ่มคัดค้านกระบวนการมรดกโลก กัมพูชาก็จะสร้างสถานการณ์ให้เกิดการปะทะอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มไปแล้วที่ปราสาทพระวิหาร เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา เพื่อทำให้เรื่องทั้งหมดไปสู่เวทีนานาชาติ โดยต้องการให้มีประเทศคนกลางเข้ามาดูข้อผิดพลาดเพลี่ยงพล้ำในเอ็มโอยู 2543
ทั้งนี้ หากทำขั้นที่ 4 สำเร็จ ก็จะเริ่มขั้นที่ 5 ในการเรียกร้องให้มีผู้สังเกตการณ์เข้ามาในพื้นที่เกิดการปะทะ เพื่อเป็นหลักประกันให้กัมพูชาไม่ต้องถอยออกมาจากแผ่นดินที่ยึดครองไทยอยู่ และเมื่อเกิดการหยุดยิงถาวร กัมพูชาก็สามารถยึดครองแผ่นดินไทยต่อไปโดยไม่มีกำหนด โดยที่ฝ่ายไทยไม่สามารถใช้กำลังทหารในการผลักดันออกไปได้ ก่อนที่จะนำไปสู่ ขั้นที่ 6 นำกรณีนี้ไปใช้หาเสียงให้กับตัวนายฮุนเซนเอง และปูฐานให้ พล.ท.ฮุน มาเนต บุตรชาย ในฐานะวีรบุรุษ ที่ยึดครองแผ่นดินไทยได้ เพื่อการสืบทอดอำนาจต่อไป
"ขณะนี้กัมพูชาได้เดินเกมมาถึงขั้นตอนที่ 4 แล้ว คือ การยิงปะทะอย่างต่อเนื่อง และยึดครองปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือนธม ให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะมีผู้สังเกตการณ์เข้ามาให้มีการหยุดยิงอย่างถาวร ซึ่งหากรัฐบาลไทยไปเร่งเจรจาก่อนตามแนวทางของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ก็จะเสียรู้ให้กับทางกัมพูชา ยังดีที่ถอนตัวออกมาได้ก่อน หลังจากสื่อของกัมพูชาออกข่าวว่าฝ่ายไทยยอมรับความพ่ายแพ้และมาขอเจรจา” นายปานเทพ กล่าว
นายปานเทพ กล่าวว่า รัฐบาลไม่ควรไปเจรจาในตอนนี้ เพราะกัมพูชาจะใช้สิทธิในการร้องต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( ยูเอ็นเอสซี ) ให้เกิดการหยุดยิงถาวร เมื่อไรที่มีการหยุดยิงถาวร จะทำให้เราเสียดินแดนในพื้นที่ที่กัมพูชายึดครองไปแล้วอย่างไม่มีกำหนดระยะเวลา จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทย ผลักดันกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทยให้หมดเสียก่อน จึงเจรจากัน ซึ่งจังหวะนี้เป็นโอกาสที่สั้นที่สุดที่หากฝ่ายใดจะช่วงชิงเกมการเมืองระหว่างประเทศ ก็จะเป็นผู้ได้รับชัยชนะ หากไทยยังเพลี่ยงพล้ำอีก ก็จะซ้ำรอยเหมือนกรณีที่ปราสาทพระวิหาร และวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ
นายปานเทพ กล่าวว่ามาตรการตอบโต้ของกองทัพ เมื่อถูกโจมตีจากกัมพูชานั้น ไม่เป็นหนทางคลี่คลายปัญหาได้เลย เพราะจะเป็นการเพิ่มสถานการณ์ให้กัมพูชาอ้างความชอบธรรมให้นานาชาตินำผู้สังเกตการณ์เข้ามา ซึ่งหนทางแก้ปัญหาที่ควรทำคือ การผลักดันกัมพูชาออกไปก่อนโดยเร็ว แล้วจึงให้นานาชาติ เข้ามา ตนเขื่อว่าเมื่อถึงตอนนั้นกัมพูชาก็ไม่ต้องการให้มีผู้สังเกตการณ์ เข้ามาอีก
ทั้งนี้ ตนขอประณามการที่กัมพูชา ใช้เด็กและผู้หญิง เป็นโล่มนุษย์ในบริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ เพราะต้องการถอนกำลังทหารมาช่วยที่ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งถือเป็นการกระทำที่อำมหิตโหดเหี้ยม ไร้ซึ่งความมนุษยธรรม
ขณะที่ นายเทพมนตรี ลิมปพยอม คณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย กล่าวว่า จากการตรวจสอบทราบว่า กัมพูชาได้เสนอการขึ้นทะเบียนมรดกโลกแห่งที่ 3 ในชื่อปราสาทเกาะแก ที่ตั้งอยู่ระหว่างนครวัด-นครธม กับปราสาทพระวิหาร ต่อคณะกรรมการมรดกโลก ซึ่งเอกสารที่ใช้ในการขึ้นทะเบียนปราสาทเกาะแก และอาณาบริเวณโดยรอบนั้น มีแผนที่ฉบับหนึ่งซึ่งจัดพิมพ์ที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งระบุว่าปราสาทตาเมือนธมอยู่ในดินแดนกัมพูชา ดังนั้นเพื่อให้แผนของกัมพูชาลุล่วงไปด้วยดีก็ต้องยึดปราสาทตาเมือนธมให้ได้โดยเร็ว เนื่องจากการขึ้นทะเบียนดังกล่าวได้รับการบรรจุในวาระการประชุมของคณะกรรมการมรดกโลกในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยรายละเอียดสามารถตรวจสอบได้ในเวบไซต์ของรัฐบาลกัมพูชา
"หากเรายังยึดถือเอ็มโอยู 2543 ไว้ จะมีอันตรายร้ายแรงกับประเทศไทย เพราะจะถูกกัมพูชาอ้างสิทธิ์ในการยึดครองแผ่นดินไทยตลอดแนวชายแดน โดยเฉพาะกรณีปราสาทตาควาย และตาเมือนธมในตอนนี้ ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลต้องหันกลับมาทบทวน เอ็มโอยู 2543 ที่มีข้อผิดพลาดอย่างชัดเจน"
นายเทพมนตรี กล่าวว่า ปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือนธมนั้น มีข้อมูลระบุชัดเจนว่า อยู่ในความดูแลของไทย ก่อนที่จะมีเอ็มโอยู 2543 แต่เมื่อมีการลงนามแล้วกัมพูชาก็เริ่มรุกคืบเข้ามายึด โดยอ้างถึงแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน แสดงให้เห็นว่าเอ็มโอยู 2543 นั้นทำให้กัมพูชาใช้อ้างสิทธิ์ในการยึดครองปราสาททั้ง 2 แห่ง โดยเฉพาะในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ไทย-กัมพูชา ที่คณะกรรมการเทคนิคร่วมฝ่ายกัมพูชาประท้วงกับฝ่ายไทยให้มีการปักหลักเขตดินแดนใหม่ในบริเวณนั้น ซึ่งรุกพื้นที่ของไทยเข้ามา 1 กม. และพยายามรุกรานเรามาอย่างต่อเนื่อง
นายเทพมนตรี กล่าวถึงกรณี นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้เจรจามรดกโลกฝ่ายไทย เตรียมเดินทางไปร่วมประชุมกับกัมพูชา ที่ประเทศฝรั่งเศส ในวันที่ 25 พ.ค.นี้ว่า มีแนวโน้มว่านายสุวิทย์ จะไปดูว่ากัมพูชาเสนออะไรกับยูเนสโก โดยทางยูเนสโก ได้เตรียมการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการมรดกโลกปราสาทพระวิหาร ซึ่งมีทั้ง 7 ชาติ และไทยเป็น 1 ในนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยปฏิเสธมาโดยตลอด
ดังนั้น จึงขอให้นายสุวิทย์ ตัดสินใจถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลก ก่อนที่จะมีการประชุมขึ้น และตนยังทราบมาอีกว่า ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่ประเทศบราซิล เมื่อปีก่อนนั้น นายสุวิทย์ได้รับเอกสารที่รับมาจากกัมพูชาจำนวน 3 ฉบับว่าด้วยเรื่องแผนบริหารจัดการมรดกโลก
นายเทพมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลจะปฏิเสธไม่ได้ว่าไทยได้สูญเสียอธิปไตยบริเวณโดยรอบประสาทพระวิหาร ที่อยู่ในแผนบริหารจัดการถูกกัมพูชาครอบครองไปแล้วประมาณร้อยละ 60 รัฐบาลได้เพลี่ยงพล้ำในด้านการต่างประเทศ ที่ได้ไปรองรับแผนบริหารจัดการตั้งแต่ปี 51 เหลือเพียงการรับรองโดยที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก วันนี้รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ ตามเกมนายฮุนเซนไม่ทัน ใช้แผนบันได 6 ขั้น เพื่อดึงเกมนี้เข้าสู่การเมืองระหว่างประเทศ โดยใช้กำลังกองทัพเปิดทางเพื่อนำการบครั้งไปสู่ภาวะสงคราม เพื่อดึงประเทศที่สามเข้ามาจัดการยึดพื้นที่ทั้งหมด
“ยุทธวิธีในการรบ ที่รัฐบาลตอบโต้โดยการยิงตอบโต้ไปตามสมควร ถือว่าไม่สมศักดิ์ศรีของไทย เพราะเราต้องขับไล่เขมรไปให้พ้นจากแผ่นดินไทย เสียก่อนแล้วค่อยมาเจรจา ไม่เช่นนั้นอย่างที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ เมื่อเขมรรุกคืบขยายแนวรบไปยังปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย จนบัดนี้เราไม่สามารถเข้าไปเดินในพื้นที่อธิปไตยของเราได้แล้ว กองทัพจงได้รู้ว่านักการเมือง นั่งเสวยสุขอยู่บนซากศพของทหารระดับปฏิบัติ แต่พวกผู้บัญชาการเหล่าทัพจะยอมรอฟังคำสั่งรัฐฐาลที่ขายชาติอีกหรือ ถือว่าละเลยต่อการทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยทั้งสิ้น” นายเทพมนตรี กล่าว
นายเทพมนตรี กล่าวว่า กองทัพอย่ามาอ้างว่าทหารไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง แต่วันนี้ต้องบอกนักการเมืองอย่ามายุ่งเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของกองทัพ พร้อมมั่นใจว่า มีนักการเมืองบางคนในรัฐบาลชุดนี้ รับผลประโยชน์จากฮุนเซน โดยจงใจทำให้ไทยต้องสูญเสียอธิปไตยไทย ซึ่งหากรัฐบาลชุดนี้จะปฏิเสธว่าไม่ใช่ แล้วทำไมไม่กล้าดำเนินการตาม 3 ข้อเรียกร้องของ คกก.ปกป้องราชอาณาจักรไทย ว่าด้วย ขับไล่เขมรให้พ้นจากดินแดนไทย ถอนตัวจากการเป็นคณะกรรมการมรดกโลกและยกเลิกเอ็มโอยู 43