โฆษก กมธ.เจบีซี จากพรรค ปชป. การันตีรายงานประชุม 3 ฉบับไม่ได้รับรองแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ยันหัวชนฝาเอ็มโอยู 43 นำไปสู่การเจรจากรอบทวิภาคี เตรียมชงให้รัฐสภาพิจารณาโดยเร็ว แนะทั้งสองฝ่ายเกณฑ์ ปชช.-ทหารออกจากพื้นที่พิพาท เพื่อเร่งปักปันเขตแดน วอนรัฐเยียวยาชาวบ้าน โยน ปธ.เจบีซีนำไปท้วงติงในการประชุมครั้งต่อไปประชุมอีกรอบ หากสภาไทยผ่านการรับรองทั้ง 3 ฉบับ
วันนี้ (24 ก.พ.) ที่รัฐสภา นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะกรรมาธิการฯ ได้พิจารณารายงานการประชุมทั้ง 3 ฉบับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยสามารถยืนยันได้ว่า MOU 2543 มีประโยชน์ที่จะนำไปสู่การเจรจาภายใต้กรอบทวิภาคีเพื่อแสวงหาสันติภาพต่อกัน รวมทั้งในรายการประชุมดังกล่าวไม่ได้มีถ้อยคำที่เป็นการยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ระวางดงรัก ตามที่ภาคประชาชนแสดงความเป็นห่วงไว้ เนื่องจากมีถ้อยคำใน MOU 2543 และคำวินิจฉัยของศาลโลกเมื่อปี 2505 ที่ระบุชัดเจนว่า แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ระวางดงรัก ไม่เป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนร่วมสยาม-อินโดจีน
นายอรรถวิชช์กล่าวต่อว่า ทางกรรมาธิการยังได้แนบข้อเสนอเพื่อให้ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาปฏิบติตาม MOU 2543 โดยให้ประชาชนและทหารออกจากพื้นที่พิพาท เพื่อเร่งพิจารณาปักปันเขตแดนให้แล้วเสร็จ รวมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ปะทะ ให้สามารถดำเนินชีวิตและทำมาหากินได้ตามปกติ โดยขั้นตอนต่อไปคณะกรรมาธิการจะได้ประสานงานกับคณะกรรมการประสานงาน (วิป) รัฐบาล เพื่อบรรจุรายงานการประชุมเจบีซี ทั้ง 3 ฉบับเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาอีกครั้ง พร้อมข้อสังเกตจากคณะกรรมาธิการที่มาจากทุกภาคส่วนในหลายกรณีด้วย รวมทั้งจะมีการส่งเรื่องให้นายกรัฐมนตรีนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ออกมติเป็นแนวทางปฏิบัติให้แก่รัฐบาลต่อๆไปในการยืนยันว่า แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ระวางดงรัก ไม่เป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนร่วมสยาม-อินโดจีน
“กรรมาธิการไม่ได้ฟันธงว่ารัฐสภาควรผ่านหรือไม่ผ่านร่างรายงานการประชุมทั้ง 3 ฉบับ เพียงแต่ส่งรายงานข้อศึกษาที่มาจากตัวแทนทุกภาคส่วนให้รัฐสภาเป็นผู้พิจารณาต่อไป แต่สามารถฟันธงได้ว่าไม่ถือเป็นการรับรองแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ระวางดงรัก” นายอรรถวิชช์กล่าว
นายอรรถวิชช์ยังได้กล่าวถึงกรณีคำปราศรัยของนายวาร์ คิมฮง ประธานเจบีซีฝ่ายกัมพูชา ที่กล่าวหาว่าไทยรุกล้ำดินแดนกัมพูชา โดยอ้างแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ระวางดงรักว่า ทางกรรมาธิการเห็นว่า ในช่วงต้นของรายงานการประชุมที่ปรากฏคำปราศรัยของผู้แทนฝ่ายกัมพูชาไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในหลายประเด็น จึงจะได้ส่งข้อสังเกตให้รัฐบาลเพื่อให้นายอัษฎา ชัยนาม ประธานเจบีซีฝ่ายไทย นำไปท้วงติงในการประชุมเจบีซีครั้งต่อไป อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่าหากรัฐสภาพิจารณาผ่านร่างรายงานการประชุมทั้ง 3 ฉบับถือเป็นเพียงการรับรองสาระในส่วนของรายละเอียดข้อตกลงระหว่างกัน มิได้เป็นการรับรองคำปราศรัยของนายวาร์ คิมฮง ไปด้วย รวมไปถึงไม่ได้รับรองข้อตกลงชั่วคราวปัญหาชายแดนเขาพระวิหารที่แนบท้ายรายงานการประชุม เนื่องจากยังถือว่าจัดทำไม่แล้วเสร็จ
เมื่อถามว่าหากรัฐสภาไทยรับรองรายงานการประชุมทั้ง 3 ฉบับ ทางเจบีซีก็ยังไม่สามารถทำงานต่อได้ เนื่องจากทางกัมพูชาขอเลื่อนการประชุมครั้งต่อไปไปอย่างไม่มีกำหนด ทำให้ผู้แทนฝ่ายไทยไม่สามารถโต้แย้งคำปราศรัยของนายวาร์ คิมฮงได้อีกด้วย นายอรรถวิชช์กล่าวว่า ตนเชื่อว่าหากรัฐสภาไทยเร่งพิจารณาผ่านร่างรายงานการประชุมทั้ง 3 ฉบับ เพื่อแสดงความจริงใจในการแก้ปัญหาข้อพิพาท ทางกัมพูชาก็พร้อมที่จะเปิดการประชุมเจบีซีร่วมกันอีกครั้ง ส่วนการท้วงติงก็เป็นหน้าที่ของนายอัษฎาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการต่อไป