“พล.ร.ท.ประทีป” ยันปมไทย-เขมร กฎบัตรสหประชาชาติระบุชัด มือที่ 3 ไม่มีสิทธิจุ้น พูดกรอกหู “มาร์ค” เอ็มโอยูเสียมากกว่าได้ เหตุเขมรเลือกใช้แต่ข้อที่เป็นประโยชน์ ชี้เหตุทหารไทยไม่สั่งสอนเขมร เพราะถูกนักการเมืองขาดสติครอบงำ เตือน รบ. ยังตกอยู่ในกับดักความคิดของนักวิชาการส่วนเกินของประเทศไทยเสียดินแดนเพิ่มอีกแน่
วันที่ 17 ก.พ.2554 บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ พล.ร.ท.ประทีป ชื่นอารมณ์ กรรมการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า สิ่งที่ตนจะพูดต่อไปนี้ยืนยันไม่เป็นความลับ และไม่ทำให้ไทยเสียเปรียบ พียงแต่เอาข้อมูลการขับเคลื่อนของไทยกับกัมพูชามาเปรียบเทียบกัน
ทั้งนี้ แนวความคิดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เคยกระแนะกระแหนพันธมิตรฯ ว่า องค์กรที่ 3 ไม่สามารถเข้ามาแทรกปัญหาระหว่างไทยกับเขมรได้ แล้วเป็นไง อีกสองวันรัฐบาลต้องไปชี้แจงยูเอ็น ประเด็นนี้ในฐานะที่ไทยเป็นสมาชิกสหประชาชาติ ต้องยึดตามกฏบัตรสหประชาชาติ ซึ่งมาตรา 2 วรรค 7 ระบุว่า ประเทศอาเซียนจะเข้ามามีบทบาทได้ ต้องเข้ากรณีความขัดแย้งได้นำไปสู่ความไม่สันติภาพระบาดไปทั่วโลก ดังตัวอย่าง ความขัดแย้งของประเทศมหาอำนาจเอง ระหว่าง จีน กับ ญี่ปุ่น โดย นางฮิลลารี คลินตัน ยื่นมือเข้ามาขออาสาไกล่เกลี่ย ซึ่งจีน ก็ตอกกลับไปว่าสหรัฐฯ ควรวางตัวอยู่ในที่ที่เหมาะสมอย่ามาจุ้น ฉะนั้นมั่นใจได้ว่าประเทศมหาอำนาจ ไม่สามารถบิดเบือนไปจากกฎบัตรสหประชาชาติได้
ส่วนที่นายอภิสิทธิ์ยืนยันเอ็มโอยู 43 เป็นกลไกสร้างการเจรจา หากไม่มีเอ็มโอยูจะเปิดโอกาสให้ชาติที่ 3 เข้ามาแทรกแซงนั้น มติของยูเอ็นก็กำหนดไว้ชัดเจนอาเซียนเข้ามาได้เพียงจัดสถานที่จัดการประชุม แต่ในสาระสำคัญ-ข้อตกลง ไม่สามารถเข้าเข้าแทรกแซงได้ ให้คู่พิพาทเจรจากันเอง แสดงว่าการเจรจาปัญหาไทยกับเขมรต่อยูเอ็น ไม่ได้เกิดจากการมีเอ็มโอยู 43 และไม่จำเป็นต้องมีเอ็มโอยู 43
พล.ร.ท.ประทีป กล่าวว่า จากรัฐบาลสู่กระทรวงการต่างประเทศ จากกระทรวงต่างประเทศ แพร่เข้าสู่กองทัพ ทั้งหมดถูกครอบงำด้วยความกลัว กลัวว่าหากทำสงครามจะเปิดโอกาสให้ประเทศที่สามเข้ามาแทรกแซง ตรรกะเหล่านี้เคยเกิดขึ้นจริง ถ้าไม่เชื่อให้ไปถาม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ว่าครั้งหนึ่งท่านพูดอะไรกับผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ และผู้บัญชาการทหารอากาศ ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกที่เมื่อเขมรเปิดสงครามยิงเข้ามาฝั่งไทย แต่กองทัพไทยไม่ทำสงครามสั่งสอน ไม่เด็ดขาด
ส่วนที่นายอภิสิทธิ์พูดว่า พันธมิตรฯ และฮุนเซน ต้องการยกเลิกเอ็มโอยู 43 นั้น เราก็บอกว่า ฮุนเซนไม่ได้ต้องการยกเลิกเอ็มโอยู เพราะยังเป็นประโยชน์ต่อเขมร เขาเลือกใช้แค่บางข้อที่เป็นประโยชน์ ยึดแผนที่ 1 : 200,000 จึงได้เห็นเขมรสร้างวัด ชุมชน ถนน ส่วนข้อห้ามทั้งในเรื่อง ห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม หากมีปัญหาให้ใช้หลักเจรจา ตรงนี้ไม่ใช้ไม่อย่างนั้นจะเอาตัว 7 คนไทยไปขึ้นศาลไม่ได้
นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ยังให้สัมภาษณ์ กล่าวหามีคนบางกลุ่มใสร้ายรัฐบาลแสวงหาผลประโยชน์ทางทะเล ในการนี้รัฐบาลได้แขวนเอ็มโอยู 44 หรือบันทึกความเข้าใจปักปันเส้นเขตแดนทางทะเลแล้วจะมาระแวงอะไร ประเด็นนี้ นายกฯ พูดแต่พูดไม่หมด อย่าพูดเขวนเอ็มโอยู44 ต้องพูดว่าคณะรัฐมนตรีมีมติให้ยกเลิกเอ็มโอยู 44 ซึ่งต้องดูต่อไปว่ามตินี้จะทำให้เป็นหมันถาวร หรือเป็นเพียงแค่มติที่เก็บไว้ในลิ้นชักเท่านั้น
อย่างไรก็ดี เนื่องจากอำนาจการแก้ไขปัญหาเขตแดนอยู่ในกำมือนักการเมือง เนื่องจากผลประโยชน์มันสัมพันธ์กัน และด้วยบทบาทรัฐบาลที่ผ่านมาทำให้เราไม่ไว้ใจนักการเมือง เช่นในอดีตนักการเมืองอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณยกเลิกกิจการสื่อสาร โดยหันไปเอาดีด้านพลังงาน จึงไปตีสนิทกับฮุนเซน จนกระทั่งครั้งหนึ่งก่อนที่ไทยจะอนุมัติเงินสร้างถนนให้เขมร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา ออกมาพูดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังมาลงทุนด้านพลังงานที่กัมพูชา
ทั้งนี้ นายสก อาน เป็นประธานคณะกรรมการปักปันผลประโยชน์ทางทะเล ซึ่งเป็นถุงเงินให้ฮุนเซน เหมือนกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งก็เป็นประธานคณะกรรมการปักปันผลประโยชน์ทางทะเลเหมือนกัน และเป็นถุงเงินให้กับพรรคประชาธิปัตย์ จึงเกรงว่านักการเมืองเหล่านนี้จะสวมตอทักษิณ
พล.ร.ท.ประทีปกล่าวว่า ที่เราเสนอให้รัฐบาลถอนตัวจากภาคีมรดกโลก ขณะที่นายอภิสิทธิ์ บอกว่า ไม่ได้เดี๋ยวไม่มีอะไรอ้างในการเจรจาที่บาห์เรน ตรงนี้นายอภิสิทธิ์เองเคยพูด ที่สุดแล้วก่อนลงมติหากมีแนวโน้มว่ามติคณะกรรมการมรดกโลกทำให้ไทยเสียเปรียบ ไทยจะถอนตัวก่อนมีมติ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าหากถอนตัวตั้งแต่ต้นกลยุทธในการแก้ไขปัญหาจะเปลี่ยนไป ไม่ต้องรอให้ถึงการประชุม
ส่วนที่นายอภิสิทธิ์มุ่งกอดเอ็มโอยู 43 แต่ปฎิเสธแผนที่ 1 : 200,000 เป็นตรรกะที่ใช้ไม่ได้ เพราะในเอ็มโอยู43 มันระบุให้ใช้แผนที่ 1 : 200,000 และที่อ้างหากผลักดันชุมชน วัด ทหารเขมรออกไป อาจทำให้เกิกการปะทะตลอดแนวชายแดนนั้น เรื่องนี้แม้แต่พลทหารปลายแถวก็คิดได้ เสนยานุภาพกองทัพไทยเหนือกว่ากองทัพกัมพูชามากมาย จึงไม่มีทางที่เขมรจะเหิมเกริมเปิดสงครามตลอดแนวชายแดนได้เลย
พล.ร.ท.ประทีปกล่าวทิ้งท้ายว่า หากรัฐบาล กระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพ ยังตกอยู่ในกับดักความคิดของนักวิชาการส่วนเกินของประเทศที่เสนอ การแก้ปัญหาเส้นเขตแดนต้องคำนึงถึงเรื่องโลกไร้พรมแดน และการแก้ไขปัญหานี้ต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แบบวิน-วินทั้งคู่ และหากยังตกอยู่ในตรรกะความคิดสร้างประชาคมอาเซียนให้แข็งแกร่ง โดยลืมดูข้อเท็จจริงแล้ว เมื่อนั้นประเทศไทยเสียดินแดนเพิ่มอีกแน่นอน