“สนธิ” ชี้ “แม่ทัพภาคที่ 2” สมควรโดนปลด! เหตุไม่ทำหน้าที่ปกป้องดินแดน เป็นอัปมงคลต่อกองทัพ อ้างเฉยไม่รู้วัดแก้วฯ เป็นของใคร สู้เด็กส่งน้ำแข็งยังไม่ได้ เผยอิทธิพลต่างชาติที่ต้องการเข้าฮุบแหล่งพลังงานในทะเล-บีบไทยให้ยอม “ฮุนเซน” เพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ โดยมีนักการเมืองไทยเห็นแก่ตัวร่วมผสมโรง
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ปราศรัยโดย “นายสนธิ ลิ้มทองกุล”
เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 14 ก.พ. นายนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นกล่าวปราศรัยที่เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ ระหว่างการชุมนุม “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” โดยได้กล่าวถึง พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ที่นั่งรถปิกอัพของกัมพูชาขึ้นยังบยบริเวณปราสาทพระวิหารร่วมกับคณะของนายเจริญ คันธวงศ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ว่าดูสภาพแล้วไม่เหมือนแม่ทัพภาค แต่เหมือนเด็กส่งน้ำแข็งมากกว่า ส่วนรองอธิบดีกรมสนธิสัญญา กระทรวงการต่างประเทศ ที่นั่งไปด้วยกันก็เหมือนเจ้าของโรงแรมม่านรูดมากกว่า ซึ่งคนระดับนี้ไม่ควรจะมานั่งท้ายรถปิกอัพแบบนี้ และคงจะทำงานโรงงานน้ำแข็งมานานจึงมีความชำนาญในการปั้นน้ำเป็นตัว
นายสนธิกล่าวต่อว่า อยากฝากไปถึงนายศิริโชค โสภา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ คนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรี ซึ่งตามปกติเป็นคนปากคอระรานไม่ยอมใคร อยากให้ออกมาสวนนายประพันธ์ คูณมี ที่เอาภาพคณะของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นไปยังบริเวณปราสาทพระวิหารมาเปิดเผยบ้างจะได้หรือไม่ เห็นว่าพูดเก่งนักไม่ใช่หรือ แต่นายประพันธ์ก็พร้อมจะสวนกลับ ให้นายศิริโชคเน่าทั้งตระกูลและทั้งก๊ก รอให้นายประพันธ์เอาหลักฐานที่ยังไม่ได้นำมาแสดงบนเวทีไปแสดงที่ศาลจังหวัดสงขลา วันนั้นอย่าเรียกหาพื่อนไม้ป่าเดียวกันก็แล้วกัน
นายสนธิกล่าวว่า เมื่อวานตนได้พูดถึงทหารพาณิชย์ที่ทำให้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชายังอยู่ วันนี้จะพูดถึงบทบาทของนักการเมืองและต่างประเทศที่เข้ามาสวมตอผลประโยชน์ ซึ่งกรณีทหารพาณิชย์นั้น พล.ท.ธวัชชัยได้ตอกย้ำสิ่งที่ตนพูด จึงอยากฝากไปบอกผู้บัญชาการทหารบกว่า คนอย่าง พล.ท.ธวัชชัย นั้นเป็นสิ่งอัปมงคลต่อกองทัพ ถ้ายังปล่อยให้คนอย่างนี้อยู่ในตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 เท่ากับว่าได้ทำลายเกียรติยศศักดิ์ศรีของทหารไทย ทำลายเกียรติคุณของทหารรุ่นพี่ในอดีตที่เคยไปรบในลาว-เวียดนาม ตนไม่เห็นด้วยที่จะให้ย้าย พล.ท.ธวัชชัย คนอย่างนี้ต้องโดนปลดอย่างเดียว เพราะไม่ใช่ทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกต่อไป
นายสนธิกล่าวต่อว่า หลังจาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แล้ว พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ มาเป็นายกฯ นั้น พล.อ.ชาติชาย ไม่ใช่ทหารมืออาชีพ ต้องการแปรสนามรบเป็นตลาดการค้า จึงต้องญาติดีกับศัตรูไม่ว่าเขมร เวียดนาม มีการโอนอ่อนผ่อนปรนให้กัน ผสมกับเรื่องผลประโยชน์ตามแนวชายแดนของทหารบางคน ทำให้กระบวนการที่เขมรมายึดครองชายแดนมีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีการส่งสัญญาณให้เขมรโดยฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคมเก่าของกัมพูชา ซึ่งฝรั่งเศสนั้นแม้จะเคยปกครองเวียดนามด้วยแต่ก็ไม่รักเวียดนามเท่าเขมร เพราะฝรั่งเศสแพ้สงครามที่เดียนเบียนฟู เป็นครั้งแรกที่กองทัพศักยภาพสูงของฝรั่งมาแพ้คนเวียดนามในยุคของโอจิมินห์ ฝรั่งเศสต้องไปดึงเอาสหรัฐอเมริกาเข้ามาช่วย
ขณะเดียวกัน ฝรั่งเศสโดยพื้นฐานเป็นชาติที่ชอบศิลปวัฒนธรรมมาก เมื่อมาพบวัตถุโบราณมากมายในเขมรก็เข้ามาสิงสถิต และคิดตลอดเวลาว่าตนเองยังเป็นเจ้าของเขมรอยู่ ขณะที่กษัตริย์กัมพูชา คือ สมเด็จนโรดมสีหนุก็ชอบความเป็นฝรั่งเศส ทำให้กัมพูชาอยู่ในใจของฝรั่งเศสมาโดยตลอดต่อเนื่องมาเรื่อยๆ การที่ฝรั่งเศสยุยุงให้เขมรทวงเอาปราสาทพระวิหารคืนโดยฟ้องศาลโลกนั้น ชี้ให้เห็นว่าคนที่อยู่เบื้อหลังคือฝรั่งเสศ ซึ่งในองค์ประกอบของคณะผู้พิพากษาศาลโลกนั้นฝรั่งเศสมีอิทธิพลสูงสุด ขณะเดียวกันในเวลานั้น เขมรยังวางตัวเป็นกลางในสงครามเวียดนาม สหรัฐฯ จึงต้องการดึเอาเขมรมาเข้าข้างเพื่อสู้กับเวียดกง สหรัฐฯ จึงส่งนายดีน แอสชิสัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศมาเป็นทนายความให้เขมรในคดีปราสาทพระวิหาร
ด้วยเหตุนี้ อิทธิพลของผู้พิพากษาศาลโลกจึงเทไปให้เขมรทำให้มีคำพิพากษาที่พิลึกกึกกือ ในเมื่อตัวปราสาทตั้งอยู่บนชะง่อนผา อยู่ในเขตไทยตามหลักสันปันน้ำ แต่กลับตัดสินให้เป็นของเขมร ซึ่งเขมรนั้นเชื่อในหลักไสยศาสตร์ เขามองว่าปราสาทพระวิหารนั้นอยู่ด้านบน และอยู่ในจังหวัดศรีสะเกษ ถ้ายึดได้ก็เท่ากับว่าเขมรข่มประเทศไทยได้ทั้งประเทศ นี่คือความเชื่อของพวกเขมร เจ้าสีหนุ ผสมผสานกับอิทธิพลของฝรั่งเศส และบทบาทของอเมริกาที่ต้องวการให้เขมรมาเข้าข้าง ในปี 2505 ศาลโลกจึงตัดสินให้ปราสาทเป็นของเขมร แต่เมื่อตัดสินแล้วศาลโลกก็ติดที่หลักการสันปันน้ำ จึงไม่สามารถพิพากษาให้พื้นที่รอบๆ ปราสาทเป็นของเขมรได้ ไม่เช่นนั้นจะขัดสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ปี ค.ศ. 1907 จึงเป็นคำพิพากษาที่พิลึก ยกปราสาทให้เขมร แต่พื้นที่โดยรอบไม่พูดถึง
นายสนธิกล่าวต่อว่า ตนไม่ตำหนิผู้นำเขมร ในเมื่อเขามองว่าปราสาทเป็นของเขา พื้นที่รอบๆ ก็ต้องเป็นของเขา ด้วยความเป็นลูกน้องฝรั่งเศส เมื่อฝรั่งเศสเสนอแผนที่ 1 ต่อ 200,000 โดยที่ไทยไม่รับรอง เขาก็รีบรับรอง เพราะเมื่อเมื่อใช้ 1 ต่อ 200,000 เขมรจะได้ดินแดนเพิ่ม 1.8 ล้านไร่ แต่ยังติดที่เรื่องสันปันน้ำ แต่ก็ยังมีช่องทางที่เขาจะได้ ในยุคที่ทหารเข้าไปผสมหสานกับนักการเมือง
นายสนธิกล่าวต่อว่า ในช่วงปี 2527-2537 เป็นต้นมา เป็นช่วงที่ความต้องการพลังงานเพิ่มสูงมากจากการที่จีนเปิดประเทศ ขณะที่อินเดียก็กำลังเติบโต ประเทศต่างๆ มีการพัฒนาธุรกิจน้ำมันของตัวเองขึ้นมา จากเดิมที่มีเฉพาะยุโรปกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งบริษัทต่างๆ มีการฮั้วกันในการสำรวจ โดยเทคโนโลยีดาวเทียมสมัยใหม่สามารถค้นพบแหล่งพลังงานว่าซ่อนอยู่ที่ไหนบ้างได้อย่างแม่นยำ ซึ่งในปัจจุบันแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลางใกล้จะถึงจุดอิ่มตัว ซาอุดิอารเบียบมีปริมาณน้ำมะนลดน้อยลง จึงเหลือพื้นที่อ่าวไทยเป็นขนมชิ้นงามที่หลายๆ กลุ่มต้องการจะเข้ามา
ในสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังเป็นนายกฯ อยู่นั้น เขาต้องการยกเลิกธุรกิจโทรศัพท์มือถือเพื่อเอาเงินมาลงทุนในธุรกิจพลังงาน ในช่วงนั้นนายโมฮัมเหม็ด อัลฟายเอ็ด เจ้าของบริษัทน้ำมันในอังกฤษได้ติดต่อมาขุดเขาะน้ำมันในอ่าวไทย แต่ยังทำไม่ได้เพราะยังเป็นพื้นที่ทับซ้อน ทักษิณจึงเร่งแกะปมข้อตกลงทางทะเล เพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์ ซึ่งประเทศไทยก็อาจจะได้ประโยชน์ด้วย แต่ได้น้อยลง เพราะต้องแบ่งให้ฝั่งกัมพูชาด้วย เหมือนกรณีการขายหุ้น ปตท.ให้เอกชน 49 % ซึ่งก็มีนักการเมืองสายของทักษิณเข้ามาซื้อทั้งสิ้น ทำให้กำไรของ ปตท.ปีละแสนกว่าล้านต้องถูกแบ่งไปให้คนกลุ่มนี้
นายสนธิกล่าวต่อว่า กระบวนการที่ทักษิณเดินคือ พยายามให้มีการตกลงกันเรื่องบ่อน้ำมันในทะเล แลกเปลี่ยนกับข้อตกลงเรื่องเขตแดนทางบก เพราะฉะนั้นที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ บอกว่าพื้นที่ 4.6 ตร.กม.เท่ากับแมวดิ้นตาย หรือที่ พล.ท.ธวัชชัยบอกว่าแค่ก้อนหินไม่กี่ก้อนนั้น มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่มันจะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่เขมรจะเอาไปอ้างเป็นข้อตกลง แต่ที่นักการเมืองไม่สนใจเรื่องดินแดนก็เพราะสนใจแต่จะกินเปอร์เซ็นต์ ใครเป็นเจ้าของโครงการ จะเพิ่มงบกี่เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงเรื่องอธิปไตยของนักการเมืองวแล้ว ปราสาทพระวิการก็แค่ที่ดินเท่าแมวดิ้นตาย
“ครพวกนี้เขามองแต่ชิ้นปลามันเมื่อทักษิณไป ชิ้นปลายังอยู่ ตอก็ยังอยู่ เมื่อประชาธิปัตย์เข้ามาก็เลยมีการพูดคัยกันเป็นส่วนตัว ไม่งั้นจะไปคุยที่โรงแรมเพนนินซูลา ที่ฮ่องกงกับนายซกอานได้ยังไง นายสุเทพ แล้วทำไมรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงต้องมาเป็นประธานเจรจาผลประโยชน์ในทะเลกับเขมร นี่คือการสวมตอ และคำตอบสุดท้ายว่าทำไมนายอภิสิทธิ์จึงโง่ตลอด กอดเอ็มโอยู.43 เอาไว้ ก็เพราะว่าต้องกาเรอาไว้เป็นเครื่องมือให้นายฮุนเซน เอาไปทำอะไรก็ได้เพื่ออบรรลุการใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 แล้วนักการเมืองก็จะได้อะไรที่นายฮุนเซนส่งให้”
นายสนธิกล่าวต่อว่า สำหรับบทบาทของบริษัทต่างชาติก็ยังคงมีอยู่ แต่ส่วนใหญ่ได้สัมปทานในเขตไทยไปหมดแล้ว ยังติดอยู่ที่ฝั่งเขมรที่เป็นพื้นทีทับซ้อน ส่วนในประเทศไทยเขาไม่กลัว เพราะมีกฎกติกา มีนักการเมืองโกงเป็นระบบอยู่แล้ว แต่กลัวคนผีเข้าผีออกอย่างนายฮุนเซน อะไรที่คาใจนายฮุนเซน ฝรั่งวจะหาทางบีบให้เราเห็นด้วยกับนายฮุนเซน นายอภิสิทธิ์จึงกลายเป็นเครื่องมือที่นายสุเทพและฮุนเซนเอามาใช้ ยิ่งกอดเอ็มโอยูไว้นาน โอกาสที่นายฮุนเซนจะใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ก็ยิ่งเร็วเท่านั้น เมื่อนายฮุนเซนได้สิ่งที่ต้องการ ฝรั่งก็ได้สิ่งที่ต้องการ
อย่างไรก็ตาม การที่เขมรยังไม่สามารถคุยกับไทยได้นั้น ก็เพราะติดพี่น้องประชาชนที่มาประท้วงที่นี่ ด้วยเหตุนี้นายฮุนเซนจึงโกรธพันธมิตรฯ ถ้าไม่มีพันธมิตรฯ นายฮุนเซนจะได้ดินแดนทันที นายสุเทพ นายอภิสิทธิ์มก็โกรธ ถ้าไม่มีพันธมิตรฯ ขบวนการขายชาติก็จะสำเร็จทันที
นายสนธิกล่าวอีกว่า ความจริงเราสามารถพึ่งจีนได้ แต่จีนก็คงไม่ช่วย เพราะเราไม่เห้ฯจีนอยู่ในสายตา เห็นแต่อเมริกาเป็นพ่อ ด้วยการส่งนายวิคเตอร์ บูท ไปให้ เพราะฉะนั้นเราต้องพึ่งตัวเราเอง สิ่งที่เราทำได้และเป็นประโยชน์ต่อชาติคือ ไล่นายอภิสิทธิ์และนักการเมืองชั่วๆ ไปให้พ้นจากประเทศไทย
“พี่น้องคือชาวบ้านบางระจันของจริง อย่าไปท้อ จิตใจของท่านยิ่งใหญ่มาก ถ้านายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ พยายามสลายพวกเรา แสดงว่าที่เราทำนั้นถูกต้องทุกประการ เราคือธรรมปราบผี พวกที่อยู่ในทำเนียบคือผีห่าซาตานทั้งนั้น
ส่วน พล.ท.ธวัชชัย ผมไม่เคยดูถูกใครเท่ากับที่ดูถูกคุณ แม้แต่คนที่ยิงผม ผมก็ไม่ดูถูกเขาเท่าดูถูกคุณเลย คุณสู้เด็กส่งนำแข็๋งไม่ได้ เพราะเด็กส่งน้ำแข็งก็ยังทำหน้าที่ น้ำแข็งเย็นก็ยังอุ้มไปส่งให้ลูกค้าตามหน้าที่ แต่คุณเป็นทหาร มีหน้าที่รักษาดินแดน คุณยังบอกว่าไม่รู้ว่าวัดแก้วฯ เป็นของใคร คุณไปตายได้แล้ว” นายสนธิกล่าว