“ปานเทพ” ซัดขึ้นพระวิหารมรดกโลกร่วมหยุดละเมิดอธิปไตยไม่ได้ ชี้ต้องให้เขมรถอนมรดกโลกก่อน ฉะ มทภ.2 พูดแก้ผ้าเอาหน้ารอด จวก “มาร์ค” ให้ “สุวิทย์” เซ็นเอกสารมรดกโลกชนวนปัญหา ชี้ถ้าเลิกเอ็มโอยูจะกลายเป็นพื้นที่พิพาทขึ้นทะเบียนไม่ได้ “ประพันธ์” ยกแถลงการณ์ กสม.สับนายกฯ ไม่สู้เพื่อ 7 คนไทย ซัดรัฐขายอธิปไตยฮั้ว “ฮุนเซน” เล็งแฉโกงข้าว ขณะที่แกนนำ พธม.จ่อแถลงท่าที 5 โมงเย็น
วันนี้ (4 ก.พ.) ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีที่ พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 เสนอให้มีการยื่นขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วมกับกัมพูชา พร้อมแบ่งพื้นที่การบริหารจัดการในลักษณะ 50 : 50 รวมทั้งกรณีที่รัฐบาลไทยมีแนวคิดในการนำสถูปคู่ สระตราว และภาพสลักนูนต่ำ บริเวณใกล้เคียงปราสาทเขาพระวิหารไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกในอนาคตว่า เป็นเรื่องที่ไม่สามารถแก้ไขหยุดยั้งการละเมิดอธิปไตยของไทยได้แม้แต่น้อย เนื่องจากโบราณสถานทั้ง 3 แห่งไม่มีความเกี่ยวพันกับแผนบริหารจัดการมรดกโลกปราสาทพระวิหาร โดยพื้นที่ในแผนบริหารที่กัมพูชายึดถืออยู่นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องการบริเวณสถูปคู่ หากแต่นำพื้นที่วัดแก้วสิขาคีรีสวาระ เพื่อเป็นจุดในการสร้างถนนตัดผ่านขึ้นไปสู่ตัวปราสาทเขาพระวิหาร ส่วนแนวคิดที่จะขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วมกันนั้นไม่สามารถทำได้แล้วในขณะนี้ เพราะทะเบียนปราสาทพระวิหารที่ขอขึ้นเป็นมรดกโลกนั้นถือโดยกัมพูชาฝ่ายเดียว ซึ่งหากมีความคิดนำส่วนอื่นที่เป็นของไทยแท้ไปขึ้นทะเบียนร่วมก็เหมือนกับมอบดินแดนให้กัมพูชามากขึ้น
ดังนั้น ความพยายามขึ้นทะเบียนมรดกโลกในช่วงนี้เพื่อหวังแก้ปัญหานั้นไม่สามารถทำได้ เพราะจะทำสำเร็จหรือไม่ก็ไม่ทราบ แต่ปราสาทพระวิหารจะมีการพิจารณาในเดือน มิ.ย.54 นี้ และหากต้องการให้มีการขึ้นทะเบียนร่วมเพื่อแก้ไขปัญหานั้น ก็ต้องให้กัมพูชาถอนทะเบียนที่ขึ้นค้างอยู่ในคณะกรรมการมรดกโลกเสียก่อน ซึ่งก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะสมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ใช้ประเด็นนี้ในการหาเสียงการเมืองในประเทศ
“การหยิบยกประเด็นอื่นๆ อ้างถึงโบราณสถานอื่นนั้น เป็นการพูดแก้ผ้าเอาหน้ารอดเท่านั้น ไม่สามารถคลี่คลายปัญหาได้แต่ประการใด” นายปานเทพกล่าว
ส่วนกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าจะไม่มีการถอนตัวจากภาคีมรดกโลก และถามหาความรับผิดชอบต่อผลเสียที่กัมพูชาอาจขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารสำเร็จ หากมีการถอนตัวตามที่พันธมิตรฯ เรียกร้องนั้น นายปานเทพกล่าวว่า กลุ่มพันธมิตรฯ พยายามชี้ให้หลายครั้งว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะนายกฯ อภิสิทธิ์อนุมัติให้นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ ไปลงนามร่างประนีประนอมระหว่างไทย-กัมพูชา เมื่อครั้งการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ที่ประเทศบราซิล เมื่อเดือน มิ.ย.53 ที่ผ่านมา ซึ่งมีเนื้อหาในการยินยอมไม่ปฏิเสธมติของคณะกรรมการย้อนหลัง ซึ่งทำให้ไทยเสียเปรียบ ถือเป็นการก่อปัญหาขึ้นด้วยตัวเอง
ทางกลุ่มพันธมิตรฯ จึงขอย้ำว่า เราไม่เคยเสนอให้มีการถอนตัวจากภาคีมรดกโลกอย่างเดียว แต่ต้องทำใน 3 ข้อเรียกร้องพร้อมกัน คือ 1.ยกเลิก MOU 2543 เพื่อปลดพันธนาการทางการทหาร 2.ถอนตัวจากภาคีอนุสัญญามรดกโลก และ 3.ผลักดันชุมชนและทหารกัมพูชาออกจากผืนแผ่นดินไทย โดยเฉพาะบริเวณ 4.6 ตร.กม.รอบปราสาทพระวิหาร จึงจะเป็นการแก้ปัญหาและยับยั้งการเสียดินแดน อีกทั้งหากมีการปฏิบัติเช่นนี้มานานแล้วปัญหาต่างๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น การที่นายกฯ อภิสิทธิ์หยิบยกเรื่องภาคีมรดกโลกมาเพียงเรื่องเดียว เพราะเป็นผู้ก่อปัญหาไว้เอง
“ทันทีที่พื้นที่ปราสาทพระวิหารและโดยรอบ กลายเป็นพื้นที่พิพาท คณะกรรมการมรดกโลกจะไม่สามารถขึ้นทะเบียนหรือเข้าไปบริหารจัดการได้เลย แต่หากปล่อยให้เป็นพื้นที่สันติภาพ ทั้งที่เป็นพื้นที่ของไทยที่กัมพูชาพยายามนำเข้าสู่แผนบริหารจัดการมรดกโลกอยู่เช่นนี้ เราจะไม่สามารถยับยั้งได้เลย” นายปานเทพกล่าว
โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวด้วยว่า หลังจากการชุมนุมผ่านมา 10 วันเข้าสู่วันที่ 11 มีหลายสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นถึงความล้มเหลวของ MOU 2543 ไม่ว่าจะเป็นกรณี 7 คนไทยที่ถูกกองกำลังติดอาวุธของกัมพูชาบุกมาจับกุมในดินแดนประเทศไทย และยังใช้อำนาจศาลละเมิดอธิปไตยเหนือดินแดนประเทศไทย นับตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค.53 เป็นเวลาเดือนกว่าๆ MOU 2543 ไม่สามารถช่วยเหลือคนไทยได้เลย รวมไปถึงกรณีเสาธงกัมพูชาในวัดแก้วฯ ที่นายกฯ อภิสิทธิ์ได้เคยประกาศว่าต้องนำลง แต่ก็ยังไม่สามารถนำลงมาได้ กลับไปเบี่ยงเบนประเด็นเชิญธงชาติไทยขึ้นบริเวณพื้นที่อื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง สรุปได้ว่า MOU 2543 ไม่สามารถแก้ไขปัญหาการละเมิดอธิปไตยดินแดนไทยได้เลย
ด้าน นายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน กล่าวว่า การอ้างว่าการอยู่ในภาคีมรดกโลกเพื่อเป็นเวทีในการคัดค้านการขึ้นทะเบียนมรดกโลกฝ่ายเดียวของกัมพูชานั้นฟังไม่ขึ้น เพราะทุกวันนี้ที่อยู่คณะกรรมการ อยากถามว่ารัฐบาลทำอะไรบ้างที่เป็นการคัดค้านขัดขวางไม่ให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร ในส่วนกรณี 7 คนไทยที่ถูกจับในประเทศไทย โดยคำแถลงของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ที่ปรากฏผ่านสื่อมวลชนในวันนี้กับแนวทางที่พันธมิตรฯ เสนอไว้ เห็นได้ชัดแล้วว่า นายกฯ อภิสิทธิ์ไม่เคยหยิบยกเรื่องการที่ 7 คน ไทยอยู่ในอธิปไตยของประเทศไทยเป็นการต่อสู้เลย รวมไปถึงหลักกฎหมายหรือข้อตกลงอนุสัญญาที่ไทยกับกัมพูชาได้เคยทำกันไว้ก็ไม่เคยหยิบยกขึ้นมา เหมือนว่าทุกคนเห็นว่าสิ่งที่ควรทำคืออะไร แต่นายอภิสิทธิ์ไม่เคยทำ ทำเพียงอย่างเดียวคือ การเกลี้ยกล่อมให้นายวีระ สมความคิด และนางราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ยอมรับความผิด สารภาพให้ศาลกัมพูชาตัดสิน ก่อนขออภัยโทษกับกษัตริย์กัมพูชา ต่างจากแนวทางของนายวีระที่ยืนยันว่าในชีวิตมีพระมหากษัตริย์พระองค์เดียว จะไม่มีวันก้มหัวขออภัยโทษจากสมเด็จฯ ฮุนเซนและกษัตริย์กัมพูชา
“ความคิดและแนวทางของรัฐบาลไทยเป็นแนวคิดที่ขายอธิปไตยโดยแท้ จำยอมก้มหัวให้นายฮุนเซน จึงน่าสงสัยว่ามีความตกลงผลประโยชน์ใดที่นายอภิสิทธิ์ และพวกทำไว้กับนายฮุนเซน ว่า หากรัฐบาลดำเนินแนวทางนี้แล้วจะมีผลประโยชน์อะไร” นายประพันธ์กล่าว
โฆษกการชุมนุมฯ กล่าวต่อว่า ในการยกระดับการชมุนุมนั้นจะมีการเปิดโปงรัฐบาลว่านอกจากไม่ปกป้องดินแดนแล้วยังมีการโกง การทุจริตอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะคนในพรรคประชาธิปัตย์ที่ทำตัวเป็นคนสะอาด ซึ่งจะใช้เวทีนี้กระชากหน้ากากคนเหล่านี้ออกมา เมื่อวันที่ 3 ก.พ.ตนได้พูดเรื่องน้ำมันปาล์มไปแล้ว ส่วนในวันนี้ (4 ก.พ.) จะหยิบยกประเด็นการทุจริตข้าวมาพูด โดยนายกฯ อภิสิทธิ์ เกี่ยวข้องโดยตรงในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ
ทั้งนี้ ในช่วง 12.00 น. กลุ่มเยาวชนพันธมิตรฯ ในนามกลุ่ม Facepad ได้เดินทางไปแจกใบปลิว 33 ประเด็นถามตอบปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณย่านธุรกิจสีลม และในเวลา 13.30 น. แกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 1 และรุ่น 2 จะประชุมหารือร่วมกันที่บ้านพระอาทิตย์ ก่อนจะมีการแถลงข่าวในเวลา 17.00 น. ที่บริเวณหน้ากระทรวงศึกษาธิการ