xs
xsm
sm
md
lg

ทูตสุรพงษ์-บก.ทีวีไทย สับ “รบ.-ทหารไทย” มั่วจนเขมรย่ามใจ ชี้คงมีผลประโยชน์ร่วมกันลับๆ ฟันธงเสีย 4.6 ตร.กม.แล้ว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รายการตอบโจทย์ ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีไทย เมื่อคืนวันศุกร์ (4 ก.พ.) ที่ผ่านมาได้เชิญ นายสุรพงษ์ ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูตไทยหลายประเทศ และนายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ บรรณาธิการข่าวทีวีไทยมาแสดงทัศนะต่อเหตุการณ์การปะทะกันบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาในเขต อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
ASTVผู้จัดการ – ทูตสุรพงษ์-เสริมสุข บก.ทีวีไทย เชื่อนักการเมือง-ทหารไทย มีเอี่ยวผลประโยชน์กับเขมร วิเคราะห์เขมรรุกไทยเพราะต้องการหยั่งเชิงความเข้มแข็ง รบ.อภิสิทธิ์ ที่แก้ปัญหาชายแดนแบบคลุมเครือ ขัดแย้งกับกองทัพหลายครั้ง ชี้เหตุการณ์พิสูจน์ “กษิต” ทำงานสำเร็จหรือล้มเหลว ฟันธงเขมรเมิน MOU43 แถมยึด 4.6 ตร.กม. เรียบร้อยแล้ว ระบุหากการทูตไม่ได้ผลก็ต้อรบเพื่อรักษาเอกราช อธิปไตยและบูรณภาพทางดินแดน



22.30น. วานนี้ (4 ก.พ.) รายการตอบโจทย์ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีไทยได้เชิญนายสุรพงษ์ ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูตไทยหลายประเทศ และนายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ บรรณาธิการข่าวการเมืองและความมั่นคง สถานีโทรทัศน์ทีวีไทยมาให้ทัศนะต่อเหตุการณ์การปะทะกันบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาในเขต อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จนทำให้มีทหารและชาวบ้านเสียชิวิต ทั้งได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง ขณะที่บ้านเรือนประชาชนก็ได้รับความเสียหายและเกิดการอพยพออกจากพื้นที่

ชี้เขมรแหย่ หวังทดสอบความเข้มแข็ง รบ.ไทย

เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า การกระทำดังกล่าวของกัมพูชาเป็นการตบหน้านายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างการเดินทางไปประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-กัมพูชาหรือเจซี ครั้งที่ 7 ที่ จ. เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา หรือไม่ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า โดยธรรมเนียมทางการทูตแล้วเหตุการณ์เช่นนี้ไม่น่าเกิดขึ้น แต่ตนเห็นว่ากัมพูชากำลังพยายามจะทดสอบความเข้มแข็งของรัฐบาลไทย และทดสอบความเป็นเอกภาพของไทย

“เหตุการณ์เมื่อท่านไปประชุมแล้ว และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ โดยปกติแล้วในทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทางการทูตเขาย่อมไม่ทำ คุณเชิญประเทศเพื่อนบ้านมาประชุมคณะกรรมการร่วม แล้วคุณทำเหตุการณ์อย่างนี้ แสดงว่าคุณคือกัมพูชา ปากว่าอย่างหนึ่ง แต่พฤติกรรมเป็นอีกอย่างหนึ่ง” อดีตเอกอัครราชทูตไทยกล่าว

นายสุรพงษ์กล่าวต่อด้วยว่า ในช่วง 8-10 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลไทยยังมีท่าทีที่คลุมเครือต่อปัญหาความขัดแย้งไม่ว่าจะเป็นเรื่องมรดกโลกหรือปัญหาด้านเขตแดน นอกจากนี้ยังสร้างความสับสนให้กับคนในชาติด้วย ยกตัวอย่างเช่น กรณีล่าสุดที่ทางกัมพูชาจับ 7 คนไทย โดยท่าทีต่างๆ ของรัฐบาลไทยต่อกรณีดังกล่าวสร้างความงุนงงไม่เฉพาะให้กับคนไทย แต่ในสายตาต่างชาติด้วย

“ล่าสุดกรณีที่ทางฝ่ายกัมพูชาจับคนไทย 7 คน ซึ่งเขาอ้างว่าเข้าไปในพื้นที่ของเขา เพราะเขาเป็นคนจับเขาก็ต้องอ้างอย่างนั้น ที่สร้างความประหลาดใจและงุนงง ไม่เฉพาะคนไทยนะครับ แต่ต่างประเทศก็ต้องงุนงงว่าทำไมรัฐบาล (ไทย) รีบด่วนสรุปว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชา อันนั้นยังไม่เท่าไหร่ แต่ต่อมาท่าทีอันนี้ก็กลับไปกลับมา มาบอกว่าเป็นพื้นที่ที่ยังไม่มีความชัดเจน” อดีตเอกอัครราชทูตไทยกล่าว และว่าเหตุการณ์คล้ายคลึงกันกับกรณี 7 คนไทย เกิดขึ้นมาหลายทศวรรษแล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องดินแดนทางบกหรือทางทะเล และโดยกลไกลทางการเจรจาหรือติดต่อระหว่างประเทศทั้งสองจริงๆ แล้วก็มีหนทางแก้ปัญหามากมาย

“ถ้าเป็นไปตามขั้นตอนแล้วท่านที่ 9 ท่าน (นายกรัฐมนตรีไทย) โทรไป (หานายกรัฐมนตรีกัมพูชา) แล้วยังไม่ได้ผล มันก็มีขั้นที่ 10 เลย นั่นคือการพูดตรงๆ มันไม่มีใครที่อยากแก้ปัญหาโดยวิธีการรุนแรง แต่เมื่อดำเนินการทุกขั้นตอนแล้ว หากต้องมีการดำเนินการด้านทหารก็ต้องทำ ไม่มีประเทศไหนไม่ทำหรอก แต่ก่อนจะไปถึงขั้นนั้นเราก็ต้องแสดงให้ประชาชนและโลกเห็นว่าเราใฝ่สันติ แต่เราพยายามทุกวิถีทางแล้วแต่ไม่ได้ผล จึงต้องทำ” นายสุรพงษ์กล่าว

จี้ รบ.แสดงทีท่าชัดเจน มิฉะนั้นเขมรรุกอีกแน่

ขณะที่เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีไทยโทรศัพท์ไปหานายกรัฐมนตรีกัมพูชาแล้วแต่ถูกตอบปฏิเสธเหตุใดรัฐมนตรีต่างประเทศไทยจึงเดินทางไปกัมพูชาอีก โดยนายสุรพงษ์ตอบว่าตนคงตอบแทนนายกษิตไม่ได้ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็บ่งชี้แล้วว่าการเดินทางไปกัมพูชาของนายกษิตสามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่

“ท่าทีของเรานอกจากจะไม่มีความชัดเจน สร้างความระแวง ความสับสนมากขึ้นภายในประเทศ สร้างความสับสนจากต่างชาติที่เขามองท่าทีของเรา นอกจากนี้ท่าทีของรัฐบาลเป็นอย่างไรก็บ่งบอกถึงความมีเอกภาพในชาติ ถ้าท่าทีกำกวม เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มันก็อาจทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าแสดงว่ามันคงมีช่องโหว่ระหว่างการติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล ... กัมพูชาเขาต้องการทดสอบ แล้วเราก็เชื้อเชิญให้เกิดการแทรกแซงจากภายใน เพราะวิธีการอย่างนี้ ก็เท่ากับว่านายกรัฐมนตรีกัมพูชาก็กลายเป็นผู้บริหารจัดการการเมืองไทยไปด้วยโดยปริยาย แล้วถ้าต่อไปนี้ถ้ายังไม่มีความชัดเจน ก็ยิ่งเหมือนเป็นการเชื้อเชิญให้รุกคืบเข้ามามากขึ้น” อดีตเอกอัครราชทูตไทยกล่าว

ยันเขมรไม่เคยสนใจ MOU43

ด้านนายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ บก.ทีวีไทย กล่าวว่าเหตุการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้เพราะ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาทางฝ่ายกัมพูชาไม่เคยสนใจ บันทึกความเข้าใจระหว่างไทยและกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ.2543 (เอ็มโอยู 43) ที่ทางรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อ้างมาตลอดอยู่แล้ว เพราะในเอ็มโอยู 43 ระบุชัดเจนถึงเรื่องการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี แต่วันนี้กลับมีการใช้กำลังกันเกิดขึ้น พร้อมกล่าวด้วยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเชื่อว่า สมเด็จฯ ฮุนเซน ผู้นำกัมพูชาน่าจะรู้เรื่องด้วยอย่างแน่นอน

“ฝ่ายไทยเราถือแนวสันปันน้ำ ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาถือพื้นที่ 1 : 200,000 มันก็จะมีพื้นที่ที่เหลื่อมกัน 4.6 ตารางกิโลเมตร โดยก่อนหน้านี้ พล.อ.เตีย บัญ ก็เคยให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ซินหัวของจีนบอกว่ามีการรุกล้ำอธิปไตย เราจะเห็นเลยครับว่าทางฝ่ายกัมพูชาถือว่าพื้นที่ 4.6 ตร.กม. เป็นของกัมพูชาโดยตลอด และเป็นเหตุผลที่กัมพูชาชักธงเหนือวัด (วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ) ซึ่งอยู่ในพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ทางตะวันตกของตัวปราสาทพระวิหาร” บก.ทีวีไทยกล่าว และว่าสิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงจุดยืนของกัมพูชาได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ตนเห็นว่าทางคณะกรรมการมรดกโลกต้องพิจารณาเรื่องนี้ว่าจะให้พื้นที่ 4.6 ตร.กม. ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของกัมพูชาในการประชุมเดือนมิถุนายน 2554 นี้หรือไม่ เพราะยังมีความขัดแย้งและการสู้รบกันอยู่

เมื่อถามว่า มีการกล่าวหาว่าการชุมนุมของกลุมพันธมิตรฯ ในกรุงเทพเป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดเหตุการณ์รุนแรง จนทำให้ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ต้องออกมาปฏิเสธ นายเสริมสุขตอบว่า ตนเห็นว่าไม่เกี่ยวข้องกันเพราะในพื้นที่มีปัญหาอยู่แล้วคือเรื่องการสร้างถนน และว่าเดิมทีทางฮุนเซนต้องการให้มีประเทศที่สาม หรือ ยูเอ็นเข้ามาแก้ไขปัญหาเรื่องเขาพระวิหารทั้งยังท้าทายให้ประเทศไทยนำเรื่องนี้ไปตัดสินในศาลโลก แต่กรณีนี้จะขึ้นศาลโลกไม่ได้ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงเช่นวันนี้ ซึ่งก็ต้องจับตาต่อไป

“ทางผู้นำกองทัพก็พูดตลอดว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน วันนี้ท่านกษิตก็เพิ่งไปกัมพูชา 2 วันก่อนหน้าแม่ทัพภาคที่ 2 ก็เพิ่งพูดว่าทหารไทยกับกัมพูชานั้นก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน” บก.ทีวีไทยตั้งข้อสังเกต และว่าความขัดแย้งในนโยบายของนายกฯ อภิสิทธิ์ กับกองทัพทั้ง รมต.กลาโหม และ มทภ.2 เกี่ยวกับกรณีธงกัมพูชาหน้าวัดแก้วฯ ก็เป็นเรื่องที่น่าสงสัย

“สุรพงษ์” ชี้จำเป็นต้องรบก็ต้องรบ แต่เป้ารัฐบาลต้องชัดเจน

เมื่อถูกถามว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในเชิงการทูตและทางการทหารจะดำเนินต่อไปอย่างไร นายสุรพงษ์กล่าวตอบว่าขั้นแรกก็ต้องประสานงานกันในทุกวิถีทางทำให้ทั้งสองฝ่ายหยุดยิงก่อน แต่กรณีเช่นนี้ที่ทางกัมพูชายิงกระสุนเข้ามาฝั่งไทยก็ถือว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยของประเทศไทย เพราะการกระทำรุนแรงดังกล่าวส่งผลต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

“แต่ต้องเข้าใจว่าการแก้ปัญหาทางการทูตไม่ได้หมายความว่าการทูตมาทดแทนการทหาร หรือถ้าเราใช้กำลังทางทหาร ก็ไม่ได้หมายความว่าการทหารจะมาทดแทนการทูต สองอย่างคู่ขนานกัน เกื้อกูลซึ่งกันและกัน” นายสุรพงษ์กล่าวและว่า หลังจากดำเนินการตามขั้นตอนถูกต้องทั้งหมดแล้วแต่ไม่ได้ผล หากจำเป็นต้องใช้มิติทางการทหารก็จำเป็นต้องใช้

“แต่การใช้ รัฐบาลต้องมีความชัดเจนว่า รัฐบาลต้องมอบให้กองทัพรู้ว่าถ้าปฏิบัติการทางการทหารแล้ว มันต้องเป็นการปฏิบัติการเพื่อเป้าประสงค์ทางการเมือง และเป้าทางการเมืองนั้นคืออะไร ต้องมีความชัดเจน” อดีตเอกอัครราชทูตไทยให้ความเห็น

นอกจากนี้นายสุรพงษ์ยังกล่าวทำนายไว้ด้วยว่า ตนเชื่อว่าภายในอีก 1-2 วันข้างหน้า ฮุนเซน ผู้นำกัมพูชาจะต้องออกมาชี้แจงต่อเหตุการณ์ดังกล่าวว่าเกิดจากการกระทำของนายทหารนอกแถว แต่สังเกตว่าเมื่อขอความร่วมมือเจ้าหน้าที่กัมพูชาในพื้นที่กลับมีการบอกว่าการทำอะไรต้องให้หน่วยเหนือ คือ นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีกลาโหมสั่งการ

เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า สามารถเปรียบเทียบได้หรือไม่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ วันนี้ กระสุนจากกัมพูชาคือกระสุนทดสอบ-กระสุนทางการเมืองที่กำลังหยั่งเชิงสถานการณ์การเมืองในประเทศไทยใช่หรือไม่ นายสุรพงษ์ตอบว่า ก็คงจะไม่ผิด

สังเกต “นักการเมือง-ทหาร” มีเอี่ยวผลปย.กับเขมร

ต่อข้อถามที่ว่าการที่กลุ่มพันธมิตรฯ ตั้งข้อสังเกตว่า ความคลุมเครือของการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากคนในรัฐบาลไทย กับ รัฐบาลกัมพูชามีผลประโยชน์ร่วมกัน นายสุรพงษ์และนายเสริมสุขมีความเห็นว่าอย่างไร นายสุรพงษ์ตอบว่า แม้ตนจะไม่มีหลักฐาน แต่พฤติกรรมของคนบางคนในรัฐบาลก็มิอาจทำให้เข้าใจเป็นอย่างได้

บก.อาวุโสทีวีไทย กล่าวเสริมว่า ไม่เพียงแต่นักการเมืองที่ถูกมองเช่นนั้น แต่ฝ่ายความมั่นคงไทยก็ถูกมองเช่นเดียวกันว่ามีผลประโยชน์ ยกตัวอย่างได้จากความไร้เอกภาพระหว่างรัฐบาลกับกองทัพจากกรณีเอาธงหน้าวัดแก้วฯ ลง ซึ่ง นายกฯ สั่งให้เอาธงกัมพูชาลงเพราะกระทบกับอธิปไตย แต่ รมว.กลาโหม กับกองทัพ (มทภ.2) กลับบอกว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ

“พอรัฐบาลบอกต้องเอาธงลง มันก็เป็นหน้าที่ของ รมว.กลาโหมกับกองทัพที่จะเอาธงลง เพราะมันบ่งบอกถึงอธิปไตย แต่พอถึงเวลา ฝ่ายกองทัพกลับบอกว่า มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ แล้วประชาชน พวกเราฟังแล้วสับสนไหมครับ … ไม่ใช่เฉพาะนักการเมืองที่มีผลประโยชน์นะครับ มันก็มีข้อสังเกตตรงนี้ ซึ่งก็ทำให้คนคิดอย่างนั้นได้ ทำไมผู้นำกองทัพที่มีหน้าที่ปกป้องอธิปไตยกลับมีท่าทีที่เหมือนกับไม่ใช่เป็นทหารที่ปกป้องผืนแผ่นดิน หรือ อธิปไตยของชาติ” นายเสริมสุขกล่าว และกล่าวว่าคำกล่าวของพันธมิตรฯ ก็เป็นสิ่งที่ต้องรับฟัง เพราะทหารที่ไปรับราชการชายแดนจุดดังกล่าวตนไม่เชื่อว่าไม่มีผลประโยชน์ เพราะมันมีทั้งบ่อนคาสิโน ไม้ และสิ่งผิดกฎหมาย

ฟันธงเสียดินแดน 4.6 ตร.กม.ไปแล้ว

“ถ้าผู้นำกองทัพมีท่าทีที่แข็งขันกว่านี้ ชัดเจนบอกว่าอธิปไตยไทยยอมไม่ได้ กองทัพพูดตลอด รัฐบาลพูดตลอดว่า พื้นที่ 4.6 ตร.กม.อยู่ภายใต้อธิปไตยของไทย แต่ทุกวันนี้พื้นที่ 4.6 ตร.กม. เราเข้าไปไม่ได้นะครับ เขมรอยู่เต็มพื้นที่เลย และถ้าจะเข้าไปต้องขออนุญาตคนกัมพูชา ต้องขออนุญาตฝ่ายทหาร มันหมายความว่าอย่างไร ผมว่าโดยพฤตินัยเราเสียพื้นที่ตรงนั้นไปแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่กองทัพต้องแสดงให้เห็นว่าพื้นที่ 4.6 ตร.กม. อยู่ในเขตไทย แล้วเรายึดสันปันน้ำเป็นเขตแดน ไม่ใช่แผนที่ 1 :200,000 อย่างที่ฝ่ายกัมพูชาพยายามอ้างสิทธิ์

“ถนนที่มีปัญหาเส้นนี้ถ้ากองทัพ(ไทย) หยุดสร้าง ก็แสดงว่าเชื่อคำตักเตือนของฝ่ายกัมพูชา ในเมื่อฝ่ายกัมพูชาตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาทำถนนตัดขึ้นมา 3.5 กม. โผล่เข้ามาในเขตไทย อยู่เหนือวัดเข้าไปปราสาท แต่กลับไม่เคยมีการประท้วงจากฝ่ายไทยเลย อันนี้ก็ทำให้สัมคมต้องมาคิดว่าฝ่ายความมั่นคงกำลังทำอะไรอยู่ แล้วก็กลับไปตอบคำถามว่ามันมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ ที่ทำให้มีท่าทีที่ไม่แข็งกร้าว หรือไม่สมเป็นชายชาติทหาร” นายเสริมสุขแจกแจง

ชี้พันธมิตรฯ สมเหตุผล-ทำหน้าที่พลเมืองที่ดี

เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่าประชาชนจะทำเช่นไรในเมื่อรัฐบาลพยายามทำ “เรื่องใหญ่” ให้เป็น “เรื่องเล็ก” ซึ่งนายสุรพงษ์ตอบว่า ในระบอบประชาธิปไตยการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนอย่างเช่นการชุมนุมของพันธมิตรฯ ก็ถือว่าสมเหตุสมผล

“เขาก็เคลื่อนไหวตามสิทธิของเขา เหตุผลของเขา และส่วนหนึ่งที่เขาเคลื่อนไหวได้ และมีคนไปชุมนุมมากขึ้นก็เพราะว่าท่าทีของรัฐบาลไม่มีความชัดเจน ... ทุกวันนี้สิ่งที่เขาเรียกร้อง เราจะไปบอกว่าไม่ถูกต้องก็ไม่ได้ มันอยู่ที่ว่ารัฐบาลยังไม่สามารถชี้แจงให้มันชัดเจนว่าสิ่งที่เขาเรียกร้องหรือเขาอ้างว่ารัฐบาลทำผิดหรือไม่ถูกต้องเป็นอย่างไร หักล้างได้อย่างไร แต่ทุกวันนี้คำชี้แจงของรัฐบาลก็ยังคลุมเครือมาก ยังกำกวมมาก

“การออกแถลงการณ์ครั้งสุดท้าย (ของกระทรวงต่างประเทศไทย) ซึ่งทางฝ่ายกัมพูชาก็ตอบโต้มาหมดก็มีลักษณะเริ่มที่จะมีความชัดเจน แต่ก็ยังกำกวมอีก ถ้าไม่มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผมไม่มั่นใจว่าแถลงการณ์นี้จะออกมา เพราะฉะนั้นในด้านประชาชนเขาก็ทำตามสิทธิและหน้าที่ของพลเมืองที่ดีที่เขาต้องทำ และผมคิดว่ารัฐบาลก็ไม่ควรไปมองว่าเขาส่งเสริมให้เกิดสงครามอะไร ไม่ ผมไม่คิดเลยว่าเขาจะส่งเสริมให้เกิดสงคราม ตรงกันข้าม วิธีการอย่างนี้เป็นวิธีการที่จะช่วยป้องกันไม่ให้บุคคลในรัฐบาลหรือนักการเมืองใดคิดฉวยโอกาสจากเรื่องนี้นำไปสู่สงครามได้” นายสุรพงษ์กล่าว และย้ำว่าท่าทีของรัฐบาลแก้ไขความคลุมเครือและความไม่ชัดเจนต่างๆ โดยต้องชี้แจงให้ได้และต้องมีจุดยืนที่ชัดเจน

อดีตทูตไทยกล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตาม การมีจุดยืนที่ชัดเจนก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเกิดสงคราม แต่เรื่องเอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนนั้นรัฐต้องมีความชัดเจน ซึ่งรัฐบาลและกองทัพต้องมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อรักษาเอกราช อธิปไตยและบูรณภาพของไทยให้ได้

ด้านนายเสริมสุขกล่าวในตอนท้ายว่า กรณีพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ทำให้คำพูดของพันธมิตรฯ มีน้ำหนักขึ้นมาก ขณะที่ข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ ในการให้ผลักดันคนเขมรออกไปก็มิได้หมายความถึงการให้ผลักดันคนงานเขมรที่ทำงานในเมืองไทยออกไป แต่คือการเรียกร้องให้มีการผลักดันคนเขมรที่ล้ำเขตแดนในพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ออกไป ซึ่งเอกภาพในฝ่ายบริหารที่นายสุรพงษ์กล่าวทำให้ตนเกิดข้อสงสัยว่า แท้จริงแล้วระหว่างรัฐบาลกับทหารใครนำใครกันแน่ อย่างไรก็ตามตนเห็นว่าถ้าถึงจุดหนึ่งที่ต้องเผชิญหน้าเพื่อปกป้องแผ่นดิน กองทัพไทยก็ต้องเดินหน้า

เมื่อผู้ดำเนินรายการถามนายสุรพงษ์ทิ้งท้ายว่า จริงๆ แล้วสถานการณ์ปัจจุบันรัฐบาลหรือกองทัพใครนำใคร ซึ่งนายสุรพงษ์ตอบว่า “ถ้าเรายังคิดว่าประเทศเรายังอยู่ในระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลก็ต้องนำกองทัพ แต่ขณะนี้ทำให้สงสัยว่าใครนำใครกันแน่ แต่สุดท้ายเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าจะโทษว่าทั้งหมดที่มีปัญหาคือความผิดของรัฐบาลชุดนี้ เราก็รู้ว่ามันละเลยกันมาหลายรัฐบาลแล้ว แต่มันไม่ควรมาเป็นข้ออ้างของรัฐบาลชุดนี้ว่า ในเมื่อมันเลยตามเลยมาแล้วก็เลยตามเลยต่อไป นี่คือสิ่งที่รัฐบาลนี้มีโอกาสที่จะแก้ปัญหา ทำให้ประเทศชาติไม่เสียผลประโยชน์ไปมากกว่าที่เสียไปแล้ว ก็ต้องทำ และเป็นหน้าที่ของรัฐบาล”
นายสุรพงษ์ ชี้ว่ารัฐบาลและทหารไทยต้องมีความชัดเจนเกี่ยวกับกัมพูชามากกว่านี้ ไม่ใช่กลับไปกลับมา มิฉะนั้นอาจมีการรุกล้ำจากกัมพูชาเพิ่มเติมอีก ส่วนกลุ่มพันธมิตรฯ ก็มีสิทธิ์ชุมนุมและตนเห็นว่าเป็นการทำตามหน้าที่พลเมืองที่ดี
นายเสริมสุข บก.ทีวีไทย เห็นด้วยว่าทางนักการเมืองไทยและทหารไทยบางส่วนน่าจะมีผลประโยชน์ร่วมกับทางกัมพูชาทำให้การแก้ปัญหาชายแดนเกิดความขัดแย้งและลุกลามบานปลายอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
กำลังโหลดความคิดเห็น